เพื่อไทยแนะ 8 มาตรการช่วยเหลือประชาชน
“พิชัย” เสนอ 8 มาตราการแก้ปัญหาพลังงาน ช่วยเหลือประชาชน ปรับโครงสร้างราคา การผลิต และการใช้พลังงาน เจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ลดพึ่งพาก๊าซจากพม่า เก็บเงิน LPG จาก ปิโตรเคมี ชี้ ราคาน้ำมันตลาดโลกเท่ากับสมัยรัฐบาลเพื่อไทยแต่ราคาปัจจุบันสูงกว่ามาก ติง รถ “ประยุทธ์” เข้าเกียร์ถอยหลังมาตลอด ขนาดต้องให้เด็กจับมือสอน เรื่องเศรษฐกิจว่าแย่แล้วการทหารกลับแย่กว่า
นายพิช้ย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า สภาวะเศรษฐกิจของโลกน่าจะมีโอกาสเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยธนาคารสหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยอีกหลายครั้งในปีนี้ โดยผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐกล่าวว่าธนาคารกลางสหรัฐยอมรับความเสี่ยงที่จะให้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอยดีกว่าที่จะไม่สามารถควบคุมเสถียรภาพของราคาสินค้า หรือ คุมเงินเฟ้อไม่อยู่ ซึ่งจะมีผลเสียมากกว่ามาก ดังนั้นประเทศไทยจะต้องเตรียมรับมือ กับภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะผันผวน โดยภาวะเงินเฟ้อของไทยในเดือนมิถุนายนคาดว่าจะสูงถึง 8% และยังมีโอกาสที่จะสูงขึ้นไปอีก จากราคาพลังงานทั้งน้ำมัน ก๊าซ และ ไฟฟ้าที่จะสูงขึ้น และราคาข้าวของที่จะแพงขึ้นอีก ซึ่งจะทำให้ประชาชนลำบากขึ้นไปอีกมาก รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องหาทางควบคุมไม่ให้ระดับราคาสินค้าพุ่งสูงเกินไปจนคุมไม่อยู่ ซึ่งจะเป็นปัญหาอย่างหนักเหมือนในหลายประเทศที่ประสบ
ทั้งนี้ ราคาก๊าซหุงต้มได้ปรับขึ้นเป็น 378 บาท / ถัง 15 กก. แล้วเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมาและจะขึ้นอีกในเดือนสิงหาคม และ เดือนกันยายนจนถึงราคา 408 บาท/ ถัง 15 กก. และ ราคาน้ำมันดีเซลจะขึ้นทะลุลิตรละ 35 บาท ไปถึงลิตรละ 38 บาทหรือมากกว่านั้น แต่คงกลัวโดนด่าเลยขอตรึงราคาที่ลิตรละ 35 บาท ไปก่อน ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้รัฐบาลอ้างว่าเป็น 2 ใน 8 ของมาตรการช่วยเหลือแต่จริงๆเป็นการประกาศขึ้นราคามากกว่า เป็นที่น่าสังเกตว่ามาตราข่วยเหลือของรัฐบาลทั้ง 2 ครั้ง ไม่ได้ช่วยเหลือประชาชนส่วนใหญ่จริง แต่เป็นการซ้ำเติมมากกว่า อีกทั้ง แนวคิดเตาอั้งโล่ที่ย้อนยุค แถมมีข่าวว่าจะนำคนคิดเตาอั้งโล่นี้มาเป็นปลัดกระทรวงพลังงานก็พอจะเห็นอนาคตของพลังงานไทยได้เลย และ พลเอกประยุทธ์จะตั้งกรรมการกี่ชุดก็จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้เพราะหลักคิดของผู้นำย้อนยุคไปต่อไม่ได้แล้ว
ดังนั้น คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยขอเสนอ 8 แนวทางแก้ไขปัญหาพลังงานและช่วยเหลือประชาชนดังนี้
1. เก็บเงินจากก๊าซ LPG ที่ส่งเข้าโรงงานปิโตรเคมี กก. ละ 5 -8 บาท เพื่อนำมาช่วยลดราคาก๊าซหุงต้ม เรื่องนี้สามารถทำได้ทันที และ ทำได้ง่ายกว่าการขอเงินจากค่าการกลั่นจากโรงกลั่นน้ำมัน ทั้งนี้ ในอดีต สมัยตนเคยเป็น รมว. พลังงาน เคยสั่งเก็บ กก. ละ 1 บาท แต่ต่อมามีการยกเลิกการเก็บไปไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเรื่องนี้สามารถเก็บได้จริง เพราะก๊าซ LPG นี้ ได้มาจากก๊าซในอ่าวไทยและนำมาเข้าโรงแยกก๊าซ อีกทั้งได้มาจากการกลั่นน้ำมัน ซึ่งจะได้เงินปีละกว่าหมื่นล้านบาท
2. ปรับราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นให้เท่ากับราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ไม่ต้องมีค่าขนส่ง ค่าประกัน ค่าระเหย เรื่องนี้เป็นการเอาเปรียบประชาชนมาเป็นสิบปีแล้ว และต้องแก้ไข ส่วนค่าการกลั่นที่สูงที่ รมว. พลังงาน อ้างว่าจะสามารถเจรจาได้แต่ทำท่าจะเหลว ทั้งนี้ ไม่ใช่กำไร 1 -2 บาทตามที่ รมว. พลังงานบอก เพราะในต่างประเทศกำไรของโรงกลั่นสูงขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตามราคาหน้าโรงกลั่นต้องปรับลงมาก่อนเพื่อความยุติธรรม เป็นที่น่าสังเกตว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกปัจจุบันเท่ากับราคาสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์แต่ราคาน้ำมันดีเซลปัจจุบันสูงกว่าสมัยนั้นมาก ราคาน้ำมันดีเซล ลิตรละ 29:99 กับลิตรละ 35 บาทเลย แสดงถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่ต่างกันมาก
3. ลดราคาค่าไฟฟ้า โดยนำกำไรสะสมจากรัฐวิสาหกิจเป็นแสนๆล้านบาท มาช่วยพยุงราคา อีกทั้งลดค่าส่วนต่างราคาซื้อจากเอกชน และ ราคาขายให้กับประชาชน รวมถึงต่อรอง “ค่าความพร้อม” ที่โรงงานไฟฟ้าที่ตั้งแล้วแต่ยังไม่ได้ไม่ผลิตไฟฟ้าแล้วรัฐยังต้องจ่ายเงินอยู่ ลดใบอนุญาตผลิตไฟฟ้า ออกเฉพาะที่จำเป็นและเป็นอนาคตเท่านั้น โรงไฟฟ้าไหนยังไม่สร้างให้ระงับไว้ก่อน รอให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มก่อนค่อยสร้าง
4. ออกมาตราการลดค่าใช้จ่ายประชาชน รถเมล์ฟรี รถไฟฟรี น้ำประปาฟรี ไฟฟ้าฟรี สำหรับผู้มีรายได้น้อยและต้องใช้อย่างประหยัด รวมถึงการปรับลดค่าโดยสารสาธารณะของขนส่งมวลชนที่ได้ชื่อว่าแพงที่สุดในโลก และจะต้องมีมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆด้วย
5. ปรับโครงสร้างการใช้พลังงานของไทย โดยปรับประเทศไทยเข้าสู่อนาคต ส่งเสริม การใช้รถพลังงานไฟฟ้า ให้มากและเร็วที่สุด มีจุดเติมพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น และ พัฒนาประเทศเป็นศูนย์กลางผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต้องมีทั้งแบตเตอรี่ และ ไมโครชิพ
6. ปรับโครงสร้างการผลิตและการใช้ไฟฟ้า โดยเร่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานจากแสงแดดและพลังงานจากลม โดยจะต้องพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) ให้มีทั่วประเทศ
7. เร่งเจรจาแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อน ไทย-กัมพูชา ซึ่งจะทำให้ไทยมีแหล่งพลังงานที่มั่นคงและมีราคาถูก อีกทั้งได้เงินจำนวนมากปีละหลายแสนล้านบาท ในนำมาพัฒนาประเทศและจัดทำสวัสดิการให้ผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง อีกทั้งกระจายความเสี่ยงในการพึ่งพาก๊าซจากประเทศเมียนมาร์ที่มีการส่งเครื่องบินรบล้ำเข้ามาในดินแดนประเทศไทย
8. ส่งเสริมการพัฒนา นวัตกรรมสมัยใหม่ในการเดินทางเพื่อประหยัดพลังงาน เช่น โดรนไฟฟ้า มอเตอร์ไซด์พลังงานไฟฟ้า เรือพลังงานไฟฟ้า ฯลฯ เพื่อสามารถนำมาใช้ได้จริง เพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยนำเงินกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมาใช้ในการค้นคว้าและวิจัย และส่งเสริมการใช้
นี่เป็น 8 มาตรการที่สามารถทำได้ทันที และ จะช่วยเหลือประชาชน และ เป็นทิศทางของอนาคตของโลกที่ไทยต้องปรับตัวตาม โดยอยากให้เปรียบเทียบกับ 8 มาตรการของรัฐบาล และอยากตอบพลเอกประยุทธ์ที่ชวนประชาชน 70 ล้านคนไปนั่งรถที่พลเอกประยุทธ์ขับว่า คนขับยังเข้าเกียร์ถอยหลังแต่เข้าใจว่ารถเดินไปข้างหน้า แล้วจะตามโลกทันได้อย่างไร ขนาดยังต้องให้เด็กนักเรียนช่วยจับมือช่วยสอนการใช้เมาส์ในคอมพิวเตอร์ให้ ยิ่งแก้ตัวว่าเพื่อให้เด็กภูมิใจสอนนายกยิ่งไปกันใหญ่ เพราะเด็กรุ่นใหม่อยากภูมิใจว่ามีนายกเก่งๆมากกว่าที่จะต้องมาสอนนายก ท่านน่าจะเข้าใจผิดอย่างรุนแรง
อีกทั้ง ประชาชนคิดว่าท่านไม่ถนัดเฉพาะเศรษฐกิจแต่ความจริงขนาดการทหารท่านก็ไม่ถนัดขนาดปล่อยให้เครื่องบินรบ มิกซ์-29 ของเมียนมาร์บินเข้าน่านฟ้าไทยแถมยังแก้ตัวให้แทน แบบนี้การทหารท่านก็สอบตก อีกทั้งวันเดียวกันมีการจัดซื้อโดรน 7 ลำราคา 4 พันล้านจากประเทศอิสราเอล และ ยังมีการเรียกร้องให้ซื้อ F-35 ทั้งที่การบริหารจัดการแย่ขนาดนี้ คิดแต่จะซื้ออาวุธเพิ่ม คิดกันได้เท่านี้จริงๆ
ทั้งนี้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมีขึ้นนี้ ขอยืนยันว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านและพรรคเพื่อไทยมีทีเด็ดแน่ ทั้งข้อมูลไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและเหล่ารัฐมนตรีที่จะโดนอภิปราย โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่มีสภาพร่อแร่ตามข่าว โดยมั่นใจได้ว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลังการอภิปรายแน่
อนุสรณ์ ชี้ ใครจะอยากอยู่ในรถน้ำมันหมด คนขับขับไม่เป็น พาเข้ารกเข้าพง
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีคำสั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นำการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ว่า รัฐบาลแก้วิกฤตราคาพลังงาน เงินเฟ้อ ค่าครองชีพสูง ด้วยการใช้หน่วยงานความมั่นคงนำการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ผิดฝาผิดตัว ตลอด 8 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ ดูเหมือนจะยึดวิธีถ้าบริหารผิดพลาด ไร้ประสิทธิภาพ จะปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัว หรือโยนความผิดให้คนอื่นไว้ก่อน วิธีคิดถ้ารถเสียให้ทุกคนลงไปช่วยกันเข็น เห็นได้ในหลายสถานการณ์ ประชาชนคนไหนจะอยากอยู่บนรถที่น้ำมันหมด คนขับขับไม่เป็น บังคับพวงมาลัยผิดทิศผิดทาง เข้ารกเข้าพง โอกาสรถพุ่งลงเหวสูง 8 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ ใช้ความมั่นคงนำทุกอย่าง เพื่อความมั่นคงของเก้าอี้ตัวเองก่อนความมั่นคงของประชาชนหรือไม่ วิกฤตการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด19 ก็ใช้สมช.นำหน่วยงานด้านสาธารณสุขจนพรรคร่วมรัฐบาลต่างโวยวายว่าถูกยึดอำนาจ รัฐซ้อนรัฐ วิกฤตเศรษฐกิจแทนที่จะใช้สภาพัฒน์ร่วมกับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจอื่นๆกลับใช้สมช.นำหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ สะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์ขาดความรู้ ความสามารถ ขาดความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ ไม่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาวิกฤต
“ไม่ไหวอย่าฝืน ตลอด 8 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ ระหว่างสร้างปัญหา กับแก้ไขปัญหา สมานแผล หรือสร้างแผลเป็นใหม่ ประชาชนประเมินได้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ ทำอย่างไหนมากกว่ากัน” นายอนุสรณ์ กล่าว