“สนธิรัตน์” ชี้จ่ายตลาด 500 บาทไม่พอค่ากับข้าว
‘สนธิรัตน์’ พาทัวร์ตลาดบางเขน อึ้ง! 500 ยังไม่พอค่ากับข้าว จี้ รัฐเร่งแก้ต้นเหตุ ‘น้ำมัน-ปุ๋ยแพง’ ลดภาระค่าครองชีพประชาชน
ที่ตลาดบางเขน กรุงเทพฯ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย พร้อมด้วยนายวัชระ กรรณิการ์ รองเลขาธิการพรรค นายนริศ เชยกลิ่น โฆษกพรรค นายพงศ์พรหม ยามะรัต และน.ส.โชนรังสี เฉลิมชัยกิจ รองโฆษกพรรค ลงพื้นที่ตลาดบางเขน เขตหลักสี่ เพื่อสำรวจราคาสินค้าเครื่องอุปโภค บริโภค พร้อมจับจ่ายใช้สอยสินค้าภายในตลาด อาทิ เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ เป็นต้น พร้อมทั้งพูดคุยรับฟังปัญหา และให้กำลังใจพ่อค้า แม่ค้า และประชาชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาค่าครองชีพแพง
จากนั้นนายสนธิรัตน์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่า วันนี้ในฐานะตัวแทนพรรคสร้างอนาคตไทย มาลงพื้นที่เนื่องจากต้องการมารับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชนโดยตรง ทั้งพ่อค้า แม่ค้า และผู้ซื้อว่าในสภาวะเช่นนี้เขารู้สึกอย่างไร วันนี้ผู้ค้า และประชาชนลำบาก เรื่องของแพง และความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ของรัฐบาลที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไข การเดินสำรวจตลาดครั้งนี้พ่อค้า แม่ค้าดีใจ เพราะจะได้ส่งเสียงสะท้อนไปสู่ผู้รับผิดชอบในรัฐบาล ปัญหาของแพงเป็นเรื่องใหญ่ของรัฐบาลที่จะต้องเร่งดำเนินการแก้ไข สินค้าราคาแพงขึ้นมากเกือบทุกรายการยกเว้นบางอย่างที่ไม่สามารถขึ้นราคาได้ก็ต้องอดทนกันไป เช่น แม่ค้ารับของมาราคาขึ้นก็ไม่กล้าขึ้นราคาลูกค้า เพราะเกรงว่าลูกค้าจะรับไม่ไหว
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า วันนี้เราต้องกลับมาสะท้อนปัญหาของแพงไปให้ถึงรัฐบาล พรรคสร้างอนาคตไทยมีแนวคิดเรื่องการแก้ปัญหาของแพง คือวันนี้ทางรัฐบาลจะต้องโฟกัสให้ได้ในเรื่องของแพง เนื่องจากเป็นปลายทางที่กระทบพี่น้องประชาชนทุกคน ทุกครัวเรือน เพราะจะต้องซื้อของกินของใช้ อย่างเนื้อหมูราคาแพงมาก สินค้าต่างๆ ทั้งของกินของใช้มีการปรับราคาขึ้นทั้งสิ้น เรื่องของแพงเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องเข้ามากำกับและควบคุมตั้งแต่ต้นทาง เพราะของแพงมาจากหลายมิติ มิติแรกคือเรื่องค่าขนส่ง ที่กระทบจากราคาพลังงานที่รัฐบาลจะต้องเจอปัญหาดังกล่าวไปอีกอย่างน้อยถึงสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า ซึ่งสมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ค่าขนส่งจะคำนวณอยู่ที่ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ของราคาขาย แต่ก็ไม่ใช่ค่าขนส่งอย่างเดียว ยังมีส่วนประกอบอื่นด้วย โดยเฉลี่ยคร่าวๆ ตนคิดว่าราคาน้ำมัน แพงจะมีผลต่อราคาสินค้าปลายทางอย่างน้อย 3-4 เปอร์เซ็นต์
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า มิติที่สองคือ ต้นทุนการผลิตอาหาร ซึ่งหัวใจสำคัญคือเรื่องต้นทุนอาหารสัตว์ ปุ๋ยเคมี ตรงนี้อยากเสนอให้รัฐบาลต้องไปดูตั้งแต่ต้นทาง เพราะวิธีแก้ปัญหาจะดูแต่เพียงปลายทาง หรือการกำกับควบคุมราคาสินค้าอย่างเดียวคงไม่ได้ เช่น ต้นทุนอาหารสัตว์ที่แพงขึ้นจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ เช่น กากถั่วเหลือง ข้าวสาลี ที่ประสบปัญหาทั่วโลกจากภาวะสงคราม ขณะที่ข้าวโพด และมันสำปะหลังในประเทศก็ราคาแพงเช่นกัน ซึ่งรัฐบาลต้องใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้ ต้องลงไปดูทีละรายการที่เป็นปัญหากระทบต่อราคาสินค้าของประชาชน รวมถึงการใช้มาตรการลดหย่อนภาษีต่อสินค้านำเข้าที่เป็นวัตถุดิบ เป็นต้น
“ข้อเสนออันหนึ่งคือให้ลองไปดูว่ารัฐบาลสามารถให้ความช่วยเหลือในการจัดหาปุ๋ยราคาถูกให้กับพี่น้องเกษตรกรในแนวคิดคล้ายๆ การประกันรายได้ได้หรือไม่ แต่การประกันรายได้เราไปประกันราคาปลายทาง แต่ขณะเดียวกันต้นทางมันขึ้น จึงควรจัดสรรปุ๋ยราคาถูกให้พี่น้องเกษตรกรหนึ่งครัวเรือนต่อจำนวนไร่ที่จะมีต้นทุนปุ๋ยราคาถูก ก็จะเป็นการชดเชยช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มนี้ ผมคิดว่านี่คือการแก้ปัญหาต้นน้ำ ของรายการสินค้าแพง ดังนั้นข้อเสนอแนะโดยรวมคือต้นน้ำที่สินค้าแพงมีความอ่อนไหวต่อราคาสินค้า อยากให้รัฐบาลเข้าไปดูในรายละเอียดไม่ใช่ดูแค่ปลายทางว่าต้นทุนขึ้นหรือไม่ ขึ้นเท่าไหร่ ปรับราคาหรือไม่ปรับราคา ผมคิดว่าความลำบากของพี่น้องประชาชนนั้นรออยู่ ดังนั้นการเข้าไปลงลึกโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเกาะติด และดูองค์ประกอบว่าอะไรที่จะอ่อนไหวต่อราคาสินค้า เป็นความจำเป็นที่ต้องร่วมมือกันของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ และส่วนงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง” นายสนธิรัตน์ กล่าว
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า มิติสุดท้ายคือการบริหารจัดการ ต้นทุนสินค้าไปสู่มือพี่น้องประชาชน ซึ่งตนคิดว่าขณะนี้ผู้ค้าปลีก ค้าส่งก็ลำบาก ส่งต่อราคาสินค้าไม่ไหว ต้นทุนแพงขึ้น เรื่องนี้รัฐบาลต้องเข้าไปดูในการร่วมมือแก้ปัญหาพี่น้องผู้ประกอบการค้าปลีก ค้าส่ง 2 ด้าน โดยด้านที่ 1 คือทำอย่างไรไม่ให้เกิดการค้ากำไรเอาเปรียบในภาวะอย่างนี้ เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลอยู่แล้ว ด้านที่ 2 ส่งเสริมสนับสนุนกลุ่มผู้ค้าที่เป็นผู้ค้าที่ดี ให้อยู่ได้
“วันนี้ไม่มีอะไรที่เป็นโจทย์ใหญ่เท่ากับทำอย่างไรถึงจะบรรเทาแบ่งเบาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ทำอย่างไรถึงจะช่วยกันบริหารตั้งแต่ต้นทางที่จะไปกระทบต่อต้นทุนสินค้า ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตร ภาคพลังงานที่ผมเสนอแนะมาอย่างต่อเนื่อง การควบคุมดูแลในการเข้าไปส่งเสริมให้เขาอยู่รอด บางครั้งแม่ค้าเพิ่งจะเริ่มฟื้นตัว ต้นทุนของแพงมาไม่กล้าขึ้นกับลูกค้าปลายทาง แล้วเขาจะอยู่รอดอย่างไร ดังนั้นรัฐต้องเข้ามาช่วยดู มาตรการทางการเงิน มาตรการทางการคลัง อะไรที่ช่วยเขาได้เพื่อประคับประคองให้ผ่านวิกฤตระลอกหลังจากโควิดแล้วมาสู่สงคราม มันเป็นภาวะใหญ่มาก และที่สำคัญรัฐบาลต้องใส่ใจในสิ่งที่มันเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเชิงทวีคูณ เรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญที่จะต้องใช้เงินแต่ละเม็ดไประงับความเดือดร้อน แล้วสร้างให้ธุรกิจยังหมุนอยู่ได้ เป็นเรื่องที่ใหญ่มากทางพรรคสร้างอนาคตไทยได้ศึกษา และเตรียมการเรื่องเหล่านี้ไว้ มีอะไรที่พรรคเห็นว่าเป็นประโยชน์ในภาวะปัจจุบันเราก็ออกมาสะท้อนให้กับผู้บริหารประเทศ อะไรที่ดีก็อยากให้นำไปใช้ อย่าไปมองเฉพาะมิติว่าเป็นข้อเสนอจากพรรคเท่านั้น วันนี้ลงพื้นที่เพื่อเป็นตัวแทนประชาชน พ่อค้าแม่ค้าที่นี่ดีใจ ร้องว่าไม่มีโอกาสสะท้อนความเดือดร้อนเหล่านี้ไปสู่รัฐบาล พี่น้องประชาชานที่มาจับจ่ายใช้สอยก็มีความทุกข์ใจกับราคาสินค้าที่แพงขึ้นทุกวัน” นายสนธิรัตน์ กล่าว
จากนั้นนายสนธิรัตน์ ได้โชว์สินค้าที่ซื้อจากตลาดในวันนี้ พร้อมระบุว่า “วันนี้ผมนำเงินมา 500 บาท ตั้งใจจะมาซื้อของ ซึ่งในอดีตเคยซื้อได้ ตอนนี้ไม่พอ เพราะของขึ้นเกือบทุกรายการ ผมอยากสะท้อนเรื่องนี้ อยากให้รัฐบาลไปดำเนินการแก้ไข”