ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 15-16 พ.ค.2565
“สิ่งที่ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” กลัวในโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. คือการถูกกล่าวหาว่า ไม่เป็นอิสระจริง และถูกมองว่าเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคเพื่อไทย ถือว่ามีคะแนนความนิยมที่ไม่ค่อยดีนักในพื้นที่ กทม.”
เรื่องที่ 1,096 ดังนั้น สิ่งที่ “ชัชชาติ” ทำในตอนนี้ คือการประคองตัวเอง ไม่ทำในสิ่งที่จะก่อให้เกิดการดราม่า เพราะจะส่งผลเสียตามมา
แต่ไม่กี่วันมานี้ เราได้เห็นการปรับโหมดการสื่อสารของ “ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์” ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.จากพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ซึ่งถือเป็นผู้สมัครที่เจอกระแสดราม่าหนักที่สุดในบรรดาผู้สมัครผู้ว่าฯ ทุกคน
ทั้งนี้ ในโค้งสุดท้าย สังเกตเห็นว่า “ดร.เอ้” ปรับโหมดด้านการสื่อสารใหม่ โดยเน้นการเมืองมากขึ้น
วันที่ 13 พ.ค.65 “สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์” ปราศรัยใหญ่ ที่สวนสาธารณะหมู่บ้านนักกีฬาเขตสะพานสูง โดยพยายามโจมตีคู่แข่งคนหนึ่ง ที่ลงในนามอิสระ ซึ่ง “ดร.เอ้” พยายามจะบอกว่า “ไม่ได้อิสระจริง” และเป็นการโกหก
“พรรคการเมืองเขาส่ง ส.ก.แต่ไม่ส่งผู้ว่าฯ มีด้วยเหรอครับแบบนี้..
…มีผู้ว่าฯ อยากจะเป็นผู้ว่าฯ แต่ไม่ส่ง ส.ก.แล้วบอกว่าอิสระ มันมีด้วยเหรอครับ”
นั่นเป็นส่วนหนึ่งในการปราศรัยของ “ดร.เอ้”!!
ถือเป็นการปรับโหมดการสื่อสาร หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นำเสนอนโยบายเป็นหลัก ซึ่งอาจมองได้ว่า การที่ “ดร.เอ้” มีภาพลักษณ์ของนักวิชาการที่ได้รับการยอมรับ อาจไม่ช่วยให้คะแนนความนิยมกระเตื้องขึ้นแต่อย่างใด
เรื่องที่ 1,097 ด้วยความห่วงใยท่านผู้อ่าน และแฟนๆของ บก.ชวนคุย จึงแอบโทรถามแหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานถึงแนวโน้มราคาดีเซลในสัปดาห์หน้า เพราะเห็นว่า ตามปกติวันพรุ่งนี้ (16 พ.ค.) ต้องมีประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ประจำสัปดาห์ เพื่อพิจารณาราคาจำหน่ายดีเซลในประเทศว่าจะเป็นอย่างไร จะมีการปรับขึ้นหรือไม่ หลังจากสัปดาห์ที่แล้ว กบน.มีมติคงราคาไว้ที่ 32 บาทต่อลิตรมาตลอดทั้งสัปดาห์ เอาเป็นว่าขอแจ้งข่าวดีเล็กๆ ละกันนะครับ ว่าน้ำมันดีเซลยังไม่ปรับขึ้นในวันพรุ่งนี้อีกหนึ่งวันขอรับ เพราะเป็นวันหยุดชดเชยวันวิสาขบูชา จึงยังไม่มีการประชุม กบน. ยืดเวลาไปได้อีก 1 วัน ยกเว้นดีเซลพรีเมี่ยมปรับขึ้น 1 บาท พรวดเดียวลิตรละ 40.36 บาท
ส่วนแก๊สโซฮอล์ พลังงานหลักของคนใช้รถยนต์และมอเตอร์ไซค์ ปรับขึ้น 60 สตางค์ ยกเว้นอี 85 ขึ้น 1 บาทต่อลิตร
เรื่องที่ 1,098 ยังคงเดินหน้าสร้างผลงานอย่างต่อเนื่องสำหรับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ล่าสุดได้เปิดตัวโครงการเพิ่มศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวด้านศาสนสถาน (วัด) ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ด้วยระบบไฟฟ้าส่องสว่างประสิทธิภาพสูงและพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งจะมีการจัดขึ้นในวันที่ 27-28 พ.ค.นี้ ซึ่ง กฟผ.ร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำนักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่ จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาศาสนสถาน โดยเฉพาะวัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับสากล ส่งเสริม ฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ใครอยากฟินยามค่ำคืนแบบรักษ์โลกก็ไปได้เลยครับผม
เรื่องที่ 1,099 องค์ขนาดเล็ก จากเดิมที่เคยรุ่งโรจน์ มีรายได้ส่งคลังบวกภาษีปีละหลายหมื่นล้านบาท ล่าสุดโรงงานยาสูบ ภายใต้ชื่อใหม่ “การยาสูบแห่งประเทศไทย” หรือ ยสท. มีอันต้องสรรหาผู้ว่าการคนใหม่หลังจากที่คนเก่าหมดวาระ อายุครบ 60 ปี พนักงานเกือบทั้งองค์กรดีใจฉลองกัน 2 วัน 3 คืน!! ขนาดนั้นเชียว
ล่าสุด หลังเปิดและปิดรับสมัครผู้ว่าการฯ คนใหม่เป็นที่เรียบร้อย ได้ยินเสียงกระซิบมาจากแดนไกลว่า สมัครกันทั้งหมด 3 คน แบ่งเป็น 2 คนแรก ไม่ไกลจากกระทรวงการคลังนัก อยู่ในแวดวงอบายมุขจากโรงงานไพ่ 1 คน และโรงงานสุรา 1 คน ส่วนชื่อเสียง เรียงนามและความดังต้องไปหากันเอาเอง แต่รู้มาอย่างหนึ่งว่า หนึ่งในนั้นเคยทำงานมาแล้ว หลายองค์กรเหมือนอดีตผู้ว่าการฯ คนก่อนที่ชื่อ “บิ๊ก” จากองค์การตลาด” หรืออต. จะมีใครหนาวหรือไม่ ต้องฟังความอย่าเพิ่งตกใจ…นะ พี่น้องชาวยาสูบ
ส่วนคนที่ 3 มาจากหน่วยงานเล็กๆ ของกระทรวงการคลัง ตำแหน่งรองผู้อำนวยการ ชื่อ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) หรือ NEDA แต่นักข่าวเรียกสั้นๆ กองทุนประเทศเพื่อนบ้านหรือ เนด้า มากกว่า คนนี้ ดี ทั้งชื่อเสียงและความสามารถ ไม่ได้เชียร์แต่รู้จักกันมานาน เลยแนะนำให้คนยาสูบรู้จักบางนิดหน่อยๆ ในฐานะผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการการยาสูบคนใหม่ ซึ่ง ณ เวลานี้ ใครก็ตามที่มานั่งทำงานตรงนี้ ต้องมีข้อดี หลายๆ ประการคือ 1.เก่ง 2.มีความสามารถสูง 3.อดทนต่อแรงเสียดทานได้ทุกด้าน ทุกกรณี 4.เสียสละทำงาน 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด 5.ทำการตลาดเป็นและไม่โง่อีกด้วย เพราะปีนี้ จะงานหนัก เนื่องจาก ยสท.จะขาดทุนเป็นปีแรก
เรื่องที่ 1,100 ตัวเลขสวย ต้องเขียนให้อ่านกันคือ ว่าที่นายกรัฐมนตรี “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ไม่ได้ขึ้นเวที บรรยายหรือปราศรัยที่ไหนยาวนานถึง 2 ปี คำแรกขึ้นต้นเลยว่า “ไม่ได้ด่าใคร” คำที่สอง “ไม่ได้ว่าใคร” คำที่สาม บอกว่า มาเสนอแนะ และให้กำลังคนที่ทำงาน สมกับเป็นนักกลยุทธ์ตัวจริง ขนาดลูกศิษย์มือขาว และมือซ้าย (อุตตม-สุวิทย์) ยังตามอาจารย์ไม่ทันเลย เพราะ “สอท.” ขึ้นเวทีปุ๊บไล่ “บิ๊กตู่” ทันที
“อ.สมคิด” บอกว่า ที่จะพูดวันนี้ มี 6 ข้อ ที่ห่วงใยต่ออนาคตประเทศ ได้แก่
1.โลกเผชิญอยู่มีความเสี่ยง และมีความไม่แน่นอนที่สูงมากขึ้นทั้งจากเรื่องของโควิด-19 และความขัดแย้งในเรื่องของรัสเซียและยูเครน เหมือนมีเมฆหมอกปกคลุม มองเห็นยากมาก และยังเป็นจุดเริ่มต้นของยุทธศาสตร์โลกใหม่
2.ความเสี่ยงในเรื่องการคลัง การใช้งบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากความไม่ปกติ ตั้งแต่เกิดโควิด ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลใช้จ่ายเงินจำนวนมาก แต่เมื่อมองไปข้างหน้า ก็ยังไม่มีทางออกที่ชัดเจน
3.การพึ่งพาเศรษฐกิจภายนอกมากเกินไปจะเกิดปัญหา เนื่องจากลมเศรษฐกิจภายนอกไม่ดีทั้งการค้า และการท่องเที่ยว แตกต่างจากจีน แม้จะมีปิดประเทศ ปิดเมือง แต่ก็อยู่ได้ ส่วนของเรา สุดท้ายต้องเปิดประเทศและยอมรับการอยู่ร่วมกับโควิด
4.ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยถดถอย ยกตัวอย่างรถยนต์ไฟฟ้า ที่รัฐบาลสนับสนุนนั้น ถามว่า เรามีความพร้อมหรือไม่ อินโดนิเซียได้เปรียบมากที่สุดเพราะมีวัตถุดิบและจำนวนคน แต่ของไทยยังช้าเนื่องจากการตัดสินใจที่ช้าของค่ายรถญี่ปุ่น ทำให้ไทยเปลี่ยนแปลงช้าไปด้วย
5.การมีบทบาทของไทยในเวทีโลก ปัจจุบันจุดยืน และข้อเสนอใหม่ๆ ของไทยในภูมิภาคอาเซียนเบาบางลงไปมากการเป็นศูนย์กลางของอาเซียนของไทยก็ลดบทบาทลง
และ 6.การขาดพลังในการรวมกันภายในชาติอย่างมีเอกภาพ ปัจจุบันความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อธรรมาภิบาล ความเชื่อมั่น เชื่อถือ และเชื่อใจ ของประชาชนต่อรัฐลดลง และหากไม่มีสิ่งเหล่านี้การทำงานก็จะทำงานได้ยากมาก
ใครสนใจรายละเอียด อ่านเพิ่มเติมได้ในโลกออนไลน์ และนสพ.พรุ่งนี้ (16พ.ค.)
ส่วน เออีซี 10 นิวส์ เอาแค่สรุปสั้นๆ ก็พอ เพราะ “อ.สมคิด” อยากเลี้ยงหลาน มากกว่าอยากเป็นนายกฯ
โดยพนวัชร์