ทีโอเอ ลั่นขึ้นแท่นผู้นำตลาดสีในไทย-AEC
ทีโอเอ ประกาศแต่งตั้ง “ประกรณ์ เมฆจำเริญ” ขึ้นแท่น กรรมการผู้จัดการใหญ่ สานต่อตามแผนรุกตลาดในไทยและภูมิภาคเออีซี หลังโรงงานใหม่ในอินโดฯ-เมียนมาร์-กัมพูชา เดินเครื่องหนุนยอดขายเริ่มไตรมาส 2 เป็นต้นไป ส่งผลให้มีกำลังการผลิตรวมเพิ่มเป็น 102 ล้านแกลลอน ลั่นภายในปี 2566 ส่วนแบ่งรายได้จากต่างประเทศขยับแตะ 30%
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้แต่งตั้งและเปิดตัว นาย ประกรณ์ เมฆจำเริญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ คนใหม่ของบริษัททีโอเอฯ ซึ่งมาตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2562 เป็นต้นไป โดยเป็นผู้บริหารที่มากด้วยความสามารถและประสบการณ์ในบริษัทข้ามชาติที่ดูแลตลาดในต่างประเทศ
” แม้เราจะรุกไปตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องเข้าใจว่า ตลาดใหญ่มาก ทีโอเต้องสร้างฐานให้ใหญ่ขึ้น การแต่งตั้ง นายประกรณ์ ท่านมีประสบการณ์ในต่างประเทศ ซึ่งจะเข้ามาสานต่อนโยบายที่บริษัทฯได้วางรากฐานและตั้งเป้าหมาย สู่การเป็นผู้นำตลาดในอุตสาหกรรมสีในเออีซี “นายจตุภัทร์ กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2562 บริษัทมีแผนการเพิ่มสัดส่วนยอดขายในประเทศไทย ด้วยการพัฒนานวัตกรรมสีใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และการตลาดเพื่อกระตุ้นการใช้สีให้มากขึ้น ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร ที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัทกว่า 68.4% ของรายได้จากการขาย รวมถึงการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้จากการขายเติบโตเพิ่มขึ้นที่ประมาณ 10% หรือมีรายได้กว่า 18,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2561 ที่บริษัทมีรายได้จากการขาย 16,347 ล้านบาท เติบโต 4% เพิ่มขึ้น 629 ล้านบาท เมื่่อเทียบกับปี 2560
ในส่วนของการสร้างโรงงานผลิตสีแห่งใหม่ ในเขตนิคมอุตสาหกรรม Kawasan Industri Millenium ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งจะแล้วเสร็จและเริ่มผลิตในไตรมาส 2 ของปี 62 รวมถึงการจัดตั้งโรงงานใหม่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวา ประเทศเมียนมาร์ และโรงงานผลิตสีในเขตเศรษฐกิจพิเศษพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ทั้งนี้ หากโรงงานทั้งสามแห่งสร้างแล้วเสร็จคาดว่าภายในปี 2562 บริษัทจะมีกำลังการผลิตรวมจำนวน 102 ล้านแกลลอน หรือเพิ่มขึ้น 16% จากกำลังผลิตปัจจุบัน 88 ล้านแกลลอน อย่างไรก็ตาม จากที่บริษัทได้มีการสร้างงานแห่งใหม่เพิ่มจะทำให้บริษัทมีโรงงานผลิตสี จำนวน 10 แห่ง ครอบคลุมทั้งหมด 7 ประเทศ (รวมประเทศไทย)
” คาดว่า ส่วนแบ่งรายได้จากต่างประเทศจะขยับขึ้นต่อเนื่อง โดยในปีนี้ จะเพิ่มเป็น 15% และคาดว่าจะเร่งเพิ่มเป็น 25-30% ภายในปี 2566 โดยโรงงานในอินโดนีเซีย จะสามารถให้ผลตอบแทนได้เร็วกว่าประเทศอื่นภายใน 4-5 ปี เนื่องจากมีไลน์การผลิตสีระดับเกรดพรีเมียม ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ส่วนโรงงานในเมียนมาร์และกัมพูชา ต้องนานกว่านี้ “