‘ปิติพงศ์’ ชี้ ยุคประยุทธ์ บริหารเหลว ทำคนไม่กล้ามีลูก
‘ปิติพงศ์’ พรรคเป็นธรรม ชี้ ยุคประยุทธ์ บริหารเหลว คนไม่กล้ามีลูก
วันที่ 26 ม.ค. นายปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม ระบุว่า ยุคประยุทธ์ เด็กเกิดใหม่ลดฮวบ สะท้อนปัญหาเศรษฐกิจ สังคม รัฐบาลบริหารประเทศอย่างไรจนทำให้คนไทยไม่อยากมีลูก
นายปิติพงศ์ กล่าวว่า จากสถิติของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ได้เปิดเผยตัวเลขจำนวนประชากรเกิดใหม่ในช่วง 30 ปีให้หลังมานี้ พบว่าจำนวนการเกิดตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 มีจำนวนต่ำลงเรื่อยมา จากที่ก่อนหน้านั้นมีจำนวนการเกิดอยู่ที่ราว 800,000 คน มาอยู่ที่จำนวน 500,000 กว่าคนเท่านั้นในปี พ.ศ.2564 หรือลดลงไปเกือบครึ่ง
หากดูในช่วงเวลาดังกล่าวจะพบว่า พ.ศ.2557 คือปีที่เกิดการรัฐประหาร และนายกรัฐมนตรีนับตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แน่นอนว่าสาเหตุที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงมีได้หลายปัจจัย แต่ปัจจัยหลักก็คือเรื่องของปัญหาเศรษฐกิจและสังคม เมื่อประชาชนไม่มีหลักความมั่นคงในชีวิต ก็ย่อมไม่สามารถมีบุตรได้ เนื่องจากไม่มีเงินเพียงพอในการเลี้ยงดู เพียงแค่หาเงินเลี้ยงชีพตนเองให้อยู่รอดไปวันๆ ก็แทบไม่พอใช้ ไหนจะต้องส่งเงินไปให้พ่อให้แม่ที่บ้าน โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ หลายคนเงินหดรายได้หาย หลายคนต้องตกงาน ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำจึงแปรผันโดยตรงกับจำนวนการเกิดของประชากรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายปิติพงศ์ ระบุ อีกทั้งปัญหาสังคมที่คนรุ่นใหม่ในยุคนี้ ไม่มั่นใจถึงอนาคตของประเทศตัวเอง และมองว่าไม่อยากให้ลูกหลานของตัวเองต้องเกิดมาในบ้านเมืองที่ถูกบริหารโดยเผด็จการซ่อนรูปเช่นนี้ ประเทศที่ไม่มีสวัสดิการสังคม ไม่มีการศึกษาที่ดี ไม่มีเบาะรองรับให้กับลูกหลานของพวกเขาที่จะเกิดมา
นายปิติพงศ์ เห็นว่า ภาวะทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างมหาศาล เนื่องจากประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย (aging society) หากเรามีจำนวนประชากรเกิดใหม่น้อยลงเรื่อยๆ จะส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและโครงสร้างแรงงาน และด้วยการที่เราเป็นประเทศที่แกก่อนรวย ไม่เหมือนกับประเทศพัฒนาแล้วที่เข้าสู่สังคมสูงวัยโดยที่พวกเขารวยก่อนแก่ จะยิ่งซ้ำเติมการคลังและการจัดสรรระบบสวัสดิการของประเทศ
“หากประเทศยังคงถูกบริหารโดยรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพเช่นนี้ คนรุ่นใหม่มองไม่เห็นอนาคตของตัวเองแบบนี้ จำนวนเด็กเกิดใหม่คงน้อยลงเรื่อยๆ กระทบกับโครงสร้างเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ และหากเราแก้ปัญหานี้ช้าเกินไป ประเทศไทยพังแน่ นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ผมอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญ และมีนโยบายกระตุ้นให้ประชาชนมีลูก ควบคู่ไปกับการทำให้พวกเขามองเห็นอนาคต มีคุณภาพชีวิตที่ดี ให้พวกเขามองเห็นภาพว่าบุตรหลานของเขาจะเติบโตอย่างมีคุณภาพในสังคมนี้ได้อย่างไร เพื่อเร่งการเกิดของประชาชน สร้างพลเมืองโลกในอนาคตของประเทศให้เพียงพอต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคตครับ”