แบรนด์รถญี่ปุ่นได้ประโยชน์จากภาษีทรัมป์
“ นี่คือช่วงเวลาของชาวอเมริกัน ” ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวในการแถลงนโยบายประจำปีต่อสภาคองเกรสเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 ม.ค. “เราสามารถลดภาษีนิติบุคคลจากเดิม 35% ลงมาเหลือ 20% ซึ่งทำให้อเมริกันสามารถแข่งขันและชนะใครก็ได้ในโลกนี้ ”
ไม่ใช่แค่บริษัทอเมริกันเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ ภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามที่กลายเป็นกฎหมายในเดือนม.ค.bก็ส่งผลกับรายได้และกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นเช่นกัน
บริษัทโตโยต้ามอเตอร์ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 290,000 ล้านเยน หรือราว 83,318 ล้านบาท อ้างอิงจากข้อมูลของทาคากิ นาคามิชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสถาบันวิจัยนาคามิชิ โดยทางนาคามิชิคาดการณ์ว่า การลดภาษีจะทำให้บริษัทฮอนด้ามอเตอร์มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 320,000 ล้านเยน หรือราว 93,632 ล้านบาท และบริษัทนิสสันมอเตอร์มีกำไรเพิ่มขึ้น 200,000 ล้านเยน หรือราว 58,520 ล้านบาท และอีกด้านหนึ่งของการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ จะช่วยลดภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี ซึ่งจะเป็นการหยุดภาระภาษีในอนาคตของบริษัทญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ
ปัจจุบัน ภาษีนิติบุคคลของสหรัฐฯ (บวกของรัฐบาลกลาง) อยู่ที่ประมาณ 26% ลดลงมาจากเดิมคือเกือบ 40%
แต่ภาษีใหม่ยังทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ได้ประโยชน์อีกต่อหนึ่งด้วย โดยจะช่วยเพิ่มมูลค่าภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนของสหรัฐฯ เนื่องจากทางการอนุญาตให้ผู้ประกอบธุรกิจลดต้นทุนค่าซื้อทรัพย์สินถาวรลง 50% ในปีงบประมาณแรก ซึ่งจะทำให้ธุรกิจเลื่อนการชำระภาษีและที่สำคัญคือได้เงินคืนจากที่ลงทุนไป
ในสหรัฐฯ เป็นเรื่องปกติสำหรับทั้งธุรกิจและบุคคลที่จะเช่าซื้อรถยนต์ใหม่มากกว่าที่จะซื้อด้วยเงินสด อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตนับรวมดีลเช่าซื้อเหล่านี้ว่าเป็นยอดขายทั้งหมด นี่จะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นหนุนยอดขายในสหรัฐฯ ขณะที่มีการแก้ไขข้อผิดพลาดทางบัญชีล่วงหน้า ได้เช่น ค่าใช้จ่ายสินทรัพย์ถาวร
การลดภาษีครั้งใหญ่ยังมีผลกับบริษัทญี่ปุ่นที่มีการดำเนินธุรกิจขนาดใหญ่รายอื่นในสหรัฐฯ เช่น SoftBank Group, Shin-Etsu Chemical , Sprint จะทำให้มีภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีมูลค่า 14,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงสิ้นเดือนก.ย. จึงคาดว่ากำไรทั้งหมดจะเพิ่มเป็น 500,000 ล้านเยน หรือราว 146,300 ล้านบาท
ทางนาคามิชิย้ำว่าภาษีใหม่จะไม่มีผลกับกำไรก่อนหักภาษี เนื่องจากการผกผันของภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี ไม่ส่งผลกับการทำกำไรของธุรกิจหลักในบริษัท ขณะที่ในระยะกลาง บริษัทญี่ปุ่นจะอยู่ภายใต้แรงกดดันที่จะต้องทำกำไรสูงสุดจากหน่วยธุรกิจในสหรัฐฯ นอกจากนี้ ภาษีใหม่ยังทำให้มีการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ธุรกิจของบริษัทอีกด้วย
สุดท้ายแล้ว ภาษีใหม่ยังช่วยหนุนนโยบายการส่งเสริมการลงทุน ตัวอย่างเช่น ใน 5 ปีข้างหน้า ธุรกิจสามารถจ่ายค่าใช้จ่ายของสินทรัพย์ถาวร ซึ่งไม่รวมถึงที่ดินและอาคาร ภาระภาษีที่ลดลงในเฟสแรกของการลงทุนจะช่วยให้การลงทุนและการครอบครองในสหรัฐฯ ง่ายขึ้น.