เปลี่ยนรัฐบาลไม่กระทบ “อีอีซี” หนุนGDPโตเพิ่ม2%
คณิศ มั่นใจ รัฐบาลใหม่ สานต่อ โครงการอีอีซี เนื่องจากเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต และผลักดันให้ GDP ไทยเติบโตเพิ่มขึ้น 2 % ด้าน ม.หอการค้า ระบุ ช่วงเลือกตั้งเงินสะพัด 8 หมื่นลบ.
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคออก (สกพอ.) กล่าวในงานสัมมนา “เศรษฐกิจไทยกับการเลือกตั้ง” ว่า แม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาล แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) อย่างแน่นอน เนื่องจาก อีอีซี ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต และช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 2% คาดจะเห็นความชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งเชื่อว่าไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาก็จะดำเนินการสานต่อโครงการ อีอีซี เพราะ อีอีซี มีพ.ร.บ.อีอีซี รองรับไว้แล้ว ที่มีทั้งองค์กร และงบประมาณในตัวเอง สามารถดำเนินการต่อได้ทันที นี่คือเครื่องการันตีการสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตต่อไป
ที่ผ่านมานโยบายการลงทุนในโครงการ อีอีซี ได้มีการปรับเพิ่มอีก 2 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายจาก 10 อุตสาหกรรม เป็น 12 อุตสาหกรรม คืออุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ และการพัฒนาคนและศึกษา ขณะเดียวกันก็ทำเรื่องของการท่องเที่ยวและการพัฒนาเมืองใหม่ ให้ครอบคลุมถึงการศึกษาและสิ่งแวดล้อม เชื่อว่าหากลงทุนได้ตามเป้าหมาย 1.7 ล้านล้านบาทใน 5 ปี และการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายเฉลี่ย 3 แสนล้านบาทต่อปี จะมีส่วนขยายฐานเศรษฐกิจให้โตเพิ่มอีก 2 % ต่อปี ดังนั้นหากฐานเศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ย 3- 4% ต่อปีก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ในระดับ 5-6% ต่อปีในระยะยาว
สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานของ EEC ที่วางไว้เป็นในช่วง 5 ปีแรก และ 5 ปีหลังทั้งโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมเป้าหมาย จะเข้ามามีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต ดังนั้น 5 ปีแรกอีอีซีก็จะเป็นเครื่องการันตีว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ตกต่ำเพราะการลงทุนในอีอีซีจะเป็นกันชนสำหรับปัจจัยภายนอกประเทศไม่ให้มากระทบได้ ซึ่งหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นแล้วมีเสถียรภาพ และดูแลการพัฒนา EEC ให้ดี เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 4% ต่อปี
ด้านนางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 62 จะขยายตัวประมาณ4.0-4.2% ทั้งนี้มีการเลือกตั้งระดับประเทศ และระดับท้องถิ่นที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งจะส่งผลให้มีเงินสะพัดในช่วงการเลือกตั้งกว่า 80,000 ล้านบาท โดยธุรกิจที่จะได้รับผลดี คือ สิ่งพิมพ์ ป้ายโฆษณา กลุ่มค้าส่ง ค้าปลีก ภัตตาคาร น้ำมันปิโตรเลียม รวมแล้วประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และถ้ารวมกับเงินที่จะสะพัดในช่วงเลือกตั้งท้องถิ่นอีก 3 หมื่นล้านบาท เป็น 8 หมื่นล้านบาท ผลักดันให้ GDP เพิ่มขึ้นจากเดิมได้อีก 0.3%
ทั้งนี้ มองว่า การเลือกตั้งจะเป็นหนึ่งในปัจจัยบวกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ เนื่องจากหากนักลงทุนและประชาชนมีความมั่นใจว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ย่อมจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการลงทุน ตลอดจนการจับจ่ายใช้สอย นอกจากนี้ ต้องติดตามต่อไปด้วยว่าภายหลังการเลือกตั้งแล้วได้รัฐบาลชุดใหม่ที่เป็นที่ยอมรับจากทุกภาคส่วน ก็ยิ่งจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนความเชื่อมั่นของประชาชนจากการบริโภคในประเทศ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ก็เชื่อว่าจะมีโอกาสทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้มากกว่า 4.2%