คลังแจกเหรียญพระคลังรุ่น 3
ธนารักษ์ ผลิตเหรียญพระคลังรุ่น 3 เสร็จแล้ว พร้อมแจกผู้สูงอายุที่สละเบี้ยยังชีพ ยันผลิตจำนวนจำกัดเพียง 5 แสนเหรียญเท่านั้น ด้านคลัง ยิ้มแกล้มปริ ดันคนจนพ้นเส้นขีดความยากจนได้ 1 ล้านคน
“อภิศักดิ์” ยิ้มแก้มปริ โครงการฝึกอบรมผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประสบความสำเร็จ ทำให้คนจนที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทต่อปี มีรายได้มากกว่า 3 หมื่นบาท เพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านคน ส่วนคนที่มีรายได้มาก กว่า 3 หมื่นบาท แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท มีรายได้เกิน 1 แสนบาทถึง 1 แสนคน พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษ แจกเหรียญ ”พระคลัง รุ่น 3” มอบให้คนชราที่เข้าร่วมโครงการการสละสิทธิ์เบี้ยผู้สูงอายุ
“ธนารักษ์ได้ดำเนินการจัดสร้างพระคลังรุ่น 3 เสร็จแล้ว และได้ส่งมอบให้ พม.ไปเรียบร้อยแล้ว จำนวน 500,000 เหรียญ” นายอำนวย ปรีมนวงศ์ อธิบดีกรมรักษ์ กล่าวและกล่าวว่า การผลิตเหรียญดังกล่าว มีจำนวนจำกัด และยังไม่ได้ปลุกเสกแต่อย่างใด
ขณะที่ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ภายในเดือนม.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติดำเนินโครงการสละ สิทธิ์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600-1,000 บาทต่อเดือน เพื่อนำไปมอบให้แก่ผู้ถือบัตรฯ ที่จนและชรา ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 4 ล้านคน โดยในแต่ละปี รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุทั่วประเทศ 70,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9-11 ล้านคน
“ที่ผ่านมา เราได้เสนอให้ ครม.ดำเนินโครงการนี้ไปแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยในรอบปีนี้ จะทำใหม่ จึง ครม.ขอให้กระทรวงการคลังดำเนินการเอง โดยจะร่วมมือสมาคมธนาคารไทยเพื่อให้ประชาชนสามารถแสดงความ จำนงสละสิทธิ์ได้สะดวกและง่ายมากขึ้น โดยโครงการจะเริ่มดำเนินตั้งแต่เดือนก.พ. เป็นต้น ซึ่งในช่วงเดือนก.พ.และมี.ค. จะมีโปรโมชั่นพิเศษ หากผู้สูงอายุสละสิทธิ์เบี้ยยังชีพจะได้รับเหรียญพระคลัง รุ่น3”
ส่วนผลการสำรวจโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ถือบัตรฯ 11.4 ล้านคน เข้าฝึกอบรมเพื่อพัฒนาอาชีพและสร้างรายได้เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งมีผู้ถือบัตรฯ จำนวน 4 ล้านคน แสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการนั้น พบว่าผู้ถือบัตรฯ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี เมื่อได้รับการฝึกอบรมหรือพัฒนาอาชีพแล้ว มีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อปี จำนวน 1 ล้านคน จากที่ฝึกอบรมทั้งหมด 2 ล้านคน ขณะที่ กลุ่มคนที่มีรายได้เกินกว่า 30,000 บาทแต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปีนั้น มีรายได้เกินกว่า 100,000 บาทต่อปี จำนวน 100,000 คน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก โดยกระทรวงการคลังจะนำเรื่องดังกล่าวเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเพื่อต่ออายุโครงการอีก 6 เดือน หลังจากที่สิ้นสุดโครงการแรกเมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
“โครงการฝึกอาชีพดังกล่าว ได้รับการตอบรับจากประชาชนที่ถือบัตรฯ เป็นอย่างดี โดยปีที่แล้ว มีผู้ถือบัตรฯ เข้าร่วมโครง การประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นคนยากจน และมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน หรือมีรายได้ 30,000 บาทต่อปี ถึง 2 ล้านคน และเมื่อผ่านการฝึกอบรมไปแล้ว คนกลุ่มนี้ มีรายได้มากขึ้น และพ้นเส้นความยากจนถึง 1 ล้านคนหรือคิดเป็น 50% ทำให้ผมคิดว่า ควรจะทำโครงการนี้ต่อไปอีก 1 รอบ โดยมีระยะเวลาอบรม 5 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนก.พ.-มิ.ย. ซึ่งคาดว่า จะใช้งบประมาณ 18,000 ล้านบาท หรือเดือนละ 3,000 ล้านบาท”
สำหรับโครงการฝึกอบรมที่จะเสนอให้ ครม.พิจารณานั้น กระทรวงการคลังจะเสนอให้ผู้ที่บัตรฯ ที่ผ่านการอบ รมรอบที่แล้วประมาณ 4 ล้านคน เข้าฝึกอบรมอีกครั้งเป็นรอบที่ 2 เพื่อพัฒนาอาชีพให้มีฝีมือและรายได้มากขึ้น โดยยอมรับว่า ในจำนวนที่ลงชื่อฝึกอบรม 4 ล้านคนนั้น ปีที่แล้ว หน่วยงานรัฐเและธนาคารเฉพาะกิจ เช่น ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ฝึกอบรมไม่ครบ ขาดไป 1 ล้านคน
เนื่องจากศักยภาพของหน่วยงานต่างๆ ไม่สามารถรอบรับความต้องการของผู้ถือบัตรฯ ได้ทั้งหมด ในรอบนี้ จึงกำชับให้ผู้ถือบัตรฯ ที่ยังไม่ได้ฝึกอบรมต้องเข้าฝึกอบรมให้หมด ส่วนผู้ถือบัตรที่ต้องการฝึกอบรมเป็นรอบที่ 2 ก็สามารถฝึกอบรมซ้ำได้ ส่วนที่เหลืออีก 7.4 ล้านคนที่ไม่ได้แสดงความจำนงฝึกอบรมก็จะไม่มีเข้าร่วมโครงการในรอบนี้
“ขอยืนยันว่า การเปิดฝึกอบรมรอบที่ 2 ซึ่งจะทำจนถึงเดือนมิ.ย.นั้น เนื่องจากเป็นโครงการที่ดีและมีประโยชน์ต่อประชาชน ขณะที่ รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารงานก็สามารถสานต่อโครงการได้ ซึ่งอาจมีความคิดดีๆ หรือนโยบายใหม่ๆ ก็ปรับปรุบเปลี่ยนแปลงได้” รมว.คลัง กล่าวในที่สุด.