ไทยเฮิร์บ ฉลอง 26 ปี มุ่งมั่นส่งเสริมสมุนไพรไทยเทียบเท่ายาแผนปัจจุบัน
ไทยเฮิร์บ ฉลอง 26 ปี มุ่งมั่นส่งเสริมสมุนไพรไทยเทียบเท่ายาแผนปัจจุบัน
บริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด (ไทยเฮิร์บ) ก้าวเข้าสู่ปีที่ 26 พร้อมเผยภารกิจสำคัญในปีนี้ ตั้งเป้าผลิตยาฟ้าทะลายโจรให้เพียงพอต่อความต้องการ เพื่อใช้ในการช่วยเหลือ และรักษาผู้ป่วยโควิด-19 รวมถึงกระจายยาฟ้าทะลายโจรให้กับทางโรงพยาบาล ร้านขายยา เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงได้มากที่สุด รวมทั้งมุ่งมั่นในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสมุนไพรของไทย ให้ได้รับการยอมรับเทียบเท่ากับยาแผนปัจจุบัน
นายแพทย์ศิริชัย ลิ้มสกุล ผู้อำนวยการ บริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด (ไทยเฮิร์บ) บริษัทร่วมทุนขององค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า ไทยเฮิร์บ ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสนองต่อนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมให้มีการใช้สมุนไพรอย่างกว้างขวาง และเป็นการทดแทนการนำเข้ายาแผนปัจจุบัน โดยองค์การเภสัชกรรมร่วมมือกับภาคเอกชนในการก่อตั้งบริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด ขึ้นเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2538 และได้ดำเนินการผลิตยาแผนโบราณ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา ปัจจุบันได้ดำเนินกิจการมาแล้ว 26 ปี
“เรายึดมั่นในหลักการที่จะผลิตยา และอาหารเสริมให้ได้มาตรฐานอยู่ในระดับเดียวกับยาแผนปัจจุบัน รวมถึงประสานความร่วมมือของทุกภาคส่วนของสังคม ตั้งแต่ระดับชุมชนท้องถิ่น เกษตรกร สถาบันการศึกษา โรงพยาบาลรัฐ และภาคเอกชน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรของประเทศมีการเติบโต โดยมีชุมชนและสังคมเป็นฐาน จึงเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน ผลิตภัณฑ์จากบริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับ และใช้เป็นทางเลือกการดูแลสุขภาพให้กับผู้บริโภคและประชาชนคนไทยตลอด 26 ปีที่ผ่านมา” นายแพทย์ศิริชัย กล่าว
สำหรับแผนงานในระยะยาว ไทยเฮิร์บ มีนโยบายในการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าให้กับสมุนไพรไทย เพื่อให้ได้เป็นที่ยอมรับของตลาดเทียบเท่ากับยาแผนปัจจุบัน จึงมีแผนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็นการทำวิจัย หรือเพิ่มนวัตกรรมต่างๆ เพื่อยกระดับให้กับสมุนไพรพื้นบ้านของไทย อย่างเช่น ผลิตภัณฑ์เคอร์คูมิน โปร ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ตัวล่าสุดที่ได้รับรางวัล PMHA จากกรมแพทย์แผนไทย ที่มีการศึกษาวิจัยโดยการนำขมิ้นชันมาใช้ร่วมกับโปรไบโอติก ถือว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสมุนไพรเป็นอย่างยิ่ง หรือแม้แต่ สารสกัดฟ้าทะลายโจรแคปซูลแบบใหม่ล่าสุด ที่พึ่งเปิดตัวไป เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีความรุนแรงน้อยโดยเฉพาะ เป็นต้น