เศรษฐกิจไทยไตรมาส3วูบเหลือ3.3%
สศช.ประเมินเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปีนี้ วูบเหลือ 3.3% ลดลงจากไตรมาส 2 ขยายตัว 4.6% ส่งผลให้ทั้งปี ขยายตัว 4.2% ชนกรอบล่าง ถือว่าต่ำสุดของช่วงคาดการณ์ 4.2-4.7% ส่วนปีหน้า คาดเติบโต 4%
เมื่อวันที่ 19 พ.ย.2560 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ได้แถลงข่าวภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ปีนี้ นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สศช.ระบุว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ยายตัว 3.3% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และชะลอลงจากไตรมาส 2 ที่ขยายตัวถึง 4.6% เป็นไปตามอุปสงค์ภาคต่างประเทศ ขณะที่อุปสงค์ในประเทศปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
” สศช.จึงได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยใหม่ โดยคาดว่า ปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการเติบโต 4.2% หรืออยู่ที่กรอบล่างของคาดการณ์เดิมที่ 4.2-4.7% เนื่องจากคาดว่าการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวเหลือเพียง 7.2% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวได้ 10% ส่วนการนำเข้าคาดว่าจะเติบโต 16.2% จากเดิมคาดไว้ที่ 15.4% ” นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สศช. กล่าวและยังระบุว่า
สำหรับในปีหน้า (2562) คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ในช่วงระหว่าง 3.5-4.5% โดยมีค่ากลางที่ 4.0% ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกในปีหน้าอาจจะขยายตัวได้ชะลอตัวลง จากปัจจัยลบต่างๆ โดยเฉพาะปัจจัยลบจากต่างประเทศ
ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน และการบริโภคภาคเอกชนยังคงมีทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจากมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลได้ออกมาทั้งการท่องเที่ยว การลงทุน จะทำให้สถานการณ์ท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวกลับขึ้นมาอยู่ในระดับปกติได้ โดยปีหน้าคาดว่า การส่งออกจะขยายตัวได้ 4.6% การนำเข้าขยายตัว 6.5% ดุลการค้าเกินดุล 14,900 ล้านดอลลาร์ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 30,700 ล้านดอลลาร์ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 0.7-1.7% การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัว 4.7% การลงทุนภาครัฐ 6.2% การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัว 4.2% และการอุปโภคภาครัฐบาล ขยายตัว 2.2%
สำหรับปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มาจาก 1.การใช้จ่ายในภาคครัวเรือนยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ในเกณฑ์ดี 2. การปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนรวม โดยการลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น และการลงทุนภาค เอกชนขยายตัวในเกณฑ์ที่ดีต่อเนื่อง 3. การปรับตัวดีขึ้นของภาคการท่องเที่ยว 4. การขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกที่สามารถสนับสนุนการขยายตัวของการส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง และ 5.การเปลี่ยนแปลงทิศทางการค้า การผลิตและการลงทุนระหว่างประเทศ
ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในปีหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ 39.8 ล้านคน รายรับจากการท่องเที่ยว 2.24 ล้านล้านบาท ซึ่งเหตุที่ยังมองว่าการท่องเที่ยวยังมีทิศทางที่ดี เพราะเชื่อว่าภาครัฐมีความพยายามอย่างเต็มที่ในการออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อจะเร่งฟื้นฟูตลาดนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาเป็นปกติ
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทย คือ 1.ความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก โดยเฉพาะแนวโน้มการปรับเพิ่ม ขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกที่โตเร็วกว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และ2.มาตรการกีดกันทางค้าระหว่างสหรัฐและจีน
สำหรับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี2561 ต่อเนื่องไปจนถึงปี2562 นั้น สศช.มองว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับ 1.การสนับสนุนการฟื้นตัวและการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดจีนให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติภายในไตรมาแรกของปี2562 ควบคู่กับการฟื้นฟูภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย การส่งเสริมการขยายในตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล และนักท่องเที่ยวรายได้สูง ตลอดจนการกระจายรายได้ลงสู่เมืองรองและชุมชน
2.การขับเคลื่อนการส่งออกให้สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่กำหนด โดยให้ความสำคัญกับการใช้โอกาสจากมาตรการกีดกันทางการค้า การติดตามการเปลี่ยนแปลงของสินค้านำเข้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า การปฏิบัติตามกรอบกติกาการค้าโลก รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือผู้ผลิตและผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบ
3.การสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่มีฐานการผลิตทั้งในประเทศไทยและในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า เพิ่มการใช้กำลังการผลิตในประเทศให้มากขึ้น ชักจูงนักลงทุนในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ขับเคลื่อนโครงการลงทุนของภาครัฐ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
4.การดูแลเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย และการสร้างควมเข้มแข็งให้กับ SMEs และเศรษฐกิจฐานราก โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรที่ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัว การดำเนินการตามโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวม ทั้งมาตรการสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์ในการลดภาระการชำระหนี้ และข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุน
5.การขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐให้สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง โดยการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใต้กรอบงบประมาณต่างๆ และการขับเคลื่อนโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง และภายใต้แผนพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)
6.การเตรียมความพร้อมด้านกำลังแรงงานและคุณภาพแรงให้มีเพียงพอต่อการรองรับการขยายตัวของภาคการผลิตและการลงทุน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่มีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น รวมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสในการขยายตัวจากการย้ายฐานการผลิตระหว่างประเทศ และอุตสาหกรรมสำคัญที่เป็นเป้าหมายของการพัฒนาประเทศ.