“สนช.”เร่งคลอดภาษีที่ดิน
“ผ่านวาระแรกแล้ว” นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว หลังจาก ร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. …ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมาธิการวิสามัญ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ในช่วงกลางเดือนพ.ย.นี้ คาดว่า พ.ร.บ.จะเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 และ 3 หลังจากคณะกรรมาธิการฯ ไม่มีข้อสงสัยใดๆ แล้ว เพื่อให้กฎหมายประกาศใช้ได้ภายในปีนี้ และมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในปี 2563
“คณะกรรมมาธิการวิสามัญฯ ไม่ได้สงสัยหรือติดใจอะไรอีกแล้ว ก็สามารถนำร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 และ 3 ต่อไป และหากสภานิติบัญญัติ (สนช.)ไม่มีข้อสงสัยใดๆ มั่นใจว่า พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะประกาศใช้ได้ภาย ในปีนี้ ซึ่งกฎหมายดังกล่าว เป็นหนึ่งในกฎหมายหลายฉบับของรัฐบาลที่ออกมาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม”
นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา การพิจารณากฎหมายฉบับดังกล่าว มีการแก้ไข และปรับปรุงหลายเรื่อง โดยในเบื้อง ต้นคาดว่า ท้องถิ่นจะสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นเป็นแสนล้านบาท แต่จากการประเมินล่าสุด หลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว 1 ปี คือปี2564 ท้องถิ่นจะจัดเก็บรายได้ 29,000 ล้านบาทต่อปีและนับไปอีก 4 ท้องถิ่นจะจัดเก็บรายได้เพิ่ม 39,000-40,000 ล้านบาท เนื่องจากร่างกฎหมายใหม่มีความยืดหยุ่นค่อนข้างมากกล่าวคือ มีทั้งการยกเว้น การไม่จัดเก็บภาษี และเพิ่มค่าลดหย่อน เพื่อบรรเทาภาระภาษี เพื่อให้ผู้เสียภาษี หรือเจ้าของที่ดินไม่เดือดร้อนจากภาษีใหม่มากนัก
ทั้งนี้ ร่างกฎหมาย พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่ผ่านการพิจาณาจากคณะกรรมาธิการฯ ยังคงประเภทที่ดินที่ต้องเสียภาษีไว้ 4 รายการ เหมือนเดิมประกอบด้วย 1.เพื่อการเกษตร กรณีบุคคลธรรมดา รายเล็กมีที่ดินทำกินราคาประเมิน ไม่ถึง 50 ล้านบาท ได้รับยกเว้นภาษี แต่หากที่ดินมีราคาประเมินเกินกว่า 50 ล้านบาท จะถูกคิดภาษีในอัตรา 1 ล้านบาท เสียภาษี100 บาท ยกตัวอย่างเช่น ที่ดินมีราคาประเมิน 60 ล้านบาท เสียภาษี 1,000 บาท ถ้าที่ดินมีราคาประเมิน 70 ล้านบาท เสียภาษี 2,000 บาท แต่จะมีการเบาเทาภาระภาษี โดยในช่วง 3 ปีแรกจะยกเว้นภาษีให้ 3 ปี ส่วนกรณีบริษัทนิติบุคคลรายใหญ่ เช่น ฟาร์ม หรือเกษตรรายใหญ่ จะเสียตั้งแต่บาทแรกและไม่มียกเว้นภาษี 3 ปี
2.เพื่อที่อยู่อาศัย กรณีบ้านหลังหลัก ราคาประเมินที่ดินบวกสิ่งปลูกสร้างไม่เกิน 50 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษี แต่หากราคาประเมินเกินกว่า 50 ล้านบาท จะเสียในอัตรา 1 ล้านบาท เสียภาษี 200 บาท ถ้าบ้านราคาประเมิน 60 ล้านบาท จะเสียภาษี 2,000 บาทต่อปี ส่วนบ้านหลังรอง (หลังที่ 2 ขึ้นไป) จะเก็บตั้งแต่ 1 บาทแรก แต่ช่วงแรกทุกๆ 1 ล้านบาท จะเสียภาษีในอัตรา 200 บาท หลังจากนั้นจะเก็บเป็นขั้นบันได ส่วนกรณีอพาร์ทเมนท์และบ้านเช่านั้น โดยหลักแล้วเจ้าของที่ดินเป็นผู้เสียภาษี แต่จะมีการผลักภาระให้แก่ผู้เช่าหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสัญญาที่ตกลงกัน
3.เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม อัตราภาษีที่จะจัดเก็บเป็นขั้นบันได ตัวเลขที่พิจารณาในขณะนี้ คือ จะไม่ให้เป็นภาระมากเกินไป โดยจัดเก็บเป็นขั้นบันไดสูงสุดไม่เกิน 0.7% ของประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยมีหลักการคือ ที่ดินที่อยู่อาศัย หรือการเกษตร จะไม่อยู่ในกลุ่มนี้ ส่วนโรงเรียน โรงพยาบาล สนามกอล์ฟและสนามกีฬา กฎหมายจะมีหักค่าลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 90% เช่น โรงเรียนเอกชน ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องให้การสนับสนุนเพื่อไม่ ให้เป็นภาระแก่ประชาชนและให้เข้าถึงระบบการศึกษาโดยเสมอภาคก็จะลดหย่อนให้สูงสุด เช่นเดียวกับโรงพยาบาลเอกชน และสนามกีฬา โดยจะออกเป็นกฎกระทรวงเพื่อเป็นแนวทางให้ท้องถิ่นปฏิบัติตาม
และ4.ที่ดินรกร่างว่างเปล่า เพื่อให้มีการใช้ที่ดินและก่อให้เกิดมูลค่าต่อระบบเศรษฐกิจ กฎหมายระบุ เจ้าของที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ต้องแบกรับภาระหนักที่สุด โดยเสียภาษีในอัตราสูงสุดไม่เกิน3% ของราคาประเมิน โดยทุกๆ 3 ปี จะเสียภาษีเพิ่ม 0.2-0.3% จนครบ 27 ปี หากยังไม่ทำประโยชน์ใดๆ จะเสียภาษีในอัตรา 3% แต่ถ้าที่ดินพื้นนั้น มีการใช้ประโยชน์ในปีใดปีหนึ่ง ก็จะยกเลิกการเก็บภาษีที่ดินรกร้างว่างเปล่า
นอกจากนี้ กฎหมายยังผ่อนปรนเพื่อบรรเทาภาระภาษีให้อีกเป็นระยะเวลา 4 ปี กรณีที่ต้องเสียภาษี 2,000 บาท จากเดิมปีที่แล้ว เสียที่ 1,000 บาท มาในปีนี้ เสียภาษี 2,000 บาท เพิ่มขึ้น 1,000 บาท จะมีการบรรเทาภาระภาษี ในรูปแบบของขั้นบันได โดยในปีแรก จะเสียเป็น 1,250 บาท ปีที่2 เป็น 1,500 บาท ปีที่ 3 เพิ่มขึ้น เป็น 1,750 บาท และปีที่ 4 จะเสียภาษีครบ 2,000 บาท.