สีจิ้นผิงมีทฤษฏีการเมืองของตัวเอง
ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนกำลังจะมีทฤษฎีทางการเมืองเป็นของตัวเอง อ้างอิงจากการรายงานของสำนักข่าวซินหัวของจีน
โดยทฤษฎีนี้จะมีชื่อเรียกว่า ‘ความคิดของสีจิ้นผิง’ และทฤษฎีนี้ประกอบด้วยหลักการทั้งหมด 12 ข้อ สำนักข่าวซินหัวรายงาน
มีแนวโน้มว่าทฤษฎีนี้จะถูกผนวกรวมเข้าไว้ในรัฐธรรมนูญของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งจะทำให้สถานะการเป็นผู้นำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและหนุนให้เขามีอำนาจสูงสุด
เขาจะเป็นผู้นำคนแรกที่มีการนำชื่อของเขามาเป็นชื่อทฤษฎีทางการเมืองหลังจากเติ้งเสี่ยวผิงลงจากตำแหน่งผู้นำของจีนไปในปี 2532 โดยอดีตผู้นำที่ยิ่งใหญ่ในพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนคนแรกคือเหมาเจ๋อตุง ก็มีการนำชื่อมาใช้เป็นชื่อทฤษฎีทางการเมืองเช่นกัน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนได้สร้างสรรค์ ‘ความคิดของสีจิ้นผิงต่อระบบสังคมนิยมด้วยเอกลักษณ์แบบจีนเพื่อยุคใหม่’
โดยมีรายงานประเด็นนี้เป็นภาษาอังกฤษ แต่ยังไม่มีการยืนยันจากสื่อของรัฐในภาษาจีน
ในรายงานยังได้อ้างถึงคำพูดของนายจางเต๋อเจียง ซึ่งเป็นผู้นำอาวุโสของพรรคที่กล่าวว่า “ความคิดเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการประชุมสมัชชาแห่งชาติครั้งที่ 19 และ “ผลงานประวัติศาสตร์ต่อการพัฒนาพรรค”
สำนักข่าวบีบีซีวิเคราะห์ว่า ‘ความคิดของสีจิ้นผิงต่อระบบสังคมนิยมด้วยเอกลักษณ์แบบจีนเพื่อยุคใหม่’ เป็นสโลแกนที่ดี แต่ยากที่จะปักหมุด
ในบางแง่ พื้นฐานของทฤษฎีใหม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ การนำชื่อของสีจิ้นผิงมาใช้เป็นชื่อทฤษฎีทางการเมืองดูจะเป็นสัญลักษณ์มากกว่าจะเป็นแก่นแท้
ผู้นำ 2 คนของจีนก่อนหน้านี้มีทฤษฎีของตัวเอง โดยหูจิ่นเทาเป็นที่รู้จักกับ ‘มุมมองวิทยาศาสตร์ต่อการพัฒนา’ และเจียงเจ๋อหมินมี ‘ทฤษฎีสามตัวแทน’ จึงเป็นเรื่องแปลกหากสีจิ้นผิงจะไม่มีทฤษฎีของตัวเอง แต่เขาไปไกลกว่าทั้งสองคน เนื่องจากทั้งหูจิ่นเทาและเจียงเจ๋อหมินไม่ได้ใช้ชื่อของตัวเองเชื่อมโยงกับทฤษฎีของพวกเขา
อภิสิทธิ์นี้มีให้เฉพาะเหมาเจ๋อตุงและเติ้งเสี่ยวผิง อดีตสองผู้นำที่เป็นที่เคารพนับถือมากที่สุดของจีนเท่านั้น หรือนี่จะมีความหมายว่า อำนาจและบารมีของสีจิ้นผิงในปัจจุบันกำลังจะทัดเทียมกับทั้งสองคนแล้ว
ในทางการแล้ว ‘ความคิดของสีจิ้นผิง’ ยังจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากสมัชชาแห่งชาติของพรรคคอมมิวนิสต์ก่อนที่จะถูกผนวกรวมเข้าไปในรัฐธรรมนูญของพรรค
ทั้งนี้ การประชุมสมัชชาแห่งชาติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งมีขึ้นทุก 5 ปี จะสิ้นสุดลงในวันที่ 24 ต.ค. โดยมีตัวแทนมากกว่า 2,000 คนที่มาร่วมประชุมในครั้งนี้ในสถานที่ซึ่งมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด.