ธปท.ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย
“วิรไท” ระบุจีดีพีไตรมาส 2 ปีนี้ ขยายตัว 4.6% สอดคล้องกับประมาณการเศรษฐกิจขาขึ้น ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในไตรมาส 2/61 ที่ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์แถลงเช้าวันที่เติบโต 4.6% นั้นสอดคล้องกับที่ธปท.คาดการณ์ไว้ โดยจะมีการทบทวนอีกครั้งในการประชุมคณะกรรม การนโยบายการเงิน (กนง.) เดือนก.ย.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น ธปท.คาดว่าจะพิจารณาเลิกใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยของประเทศอุตสาหกรรมหลักเริ่มมีทิศทางปรับขึ้นต่อเนื่อง ประเทศไทยก็ไม่สามารถใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยสวนทางได้ โดยอาจมีความจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ย แต่ทั้งนี้จะต้องพิจารณาในช่วงเวลาที่เหมาะสมอีกครั้ง
“ถ้า ธปท.มีความจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยบ้าง ก็ไม่ได้หมายความว่า ธปท.จะไม่ได้ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เพียง แต่ว่าไม่ได้ทำนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษเท่านั้น” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวและกล่าวว่า
การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน ธปท.จะพิจารณาหลายปัจจัย ได้แก่ 1.ทิศทางอัตราเงินเฟ้อ เพราะนโยบายการเงินใช้เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก 2.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 3.เสถียรภาพระบบการเงิน ซึ่งการใช้ดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานานจะส่งผลข้างเคียง เช่น มีการออมในระดับต่ำ พฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทน ภาคอสังหาริมทรัพย์มีการเก็งกำไร 4.ความสามารถในการทำนโยบายการเงินในอนาคตที่จะต้องมีกระสุนพร้อมใช้
สำหรับกรณีวิกฤตเศรษฐกิจตุรกีนั้น ส่งผลต่อความกังวลกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ซึ่งตุรกีมีปัญหาค่าเงินอ่อน ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด หนี้ต่างประเทศสูง เงินทุนสำรองต่ำ ซึ่งเกิดผลกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุน ในส่วนของประเทศไทยผลกระทบโดยตรงยังอยู่ในขอบเขตจำกัด เพราะมีการทำธุรกรรมโดยตรงน้อย อีกทั้งไทยยังมีฐานะต่างประเทศแข็งแกร่ง จะเห็นได้จากช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินบาทมีความผันผวนน้อยมาก
อย่างไรก็ดี ความผันผวนตลาดเงินตลาดทุนและค่าเงินในระยะต่อไปจะยังมีต่อเนื่องและรุนแรงมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัจจัยจากต่างประเทศที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยประเทศอุตสาหกรรมหลัก มุมมองของนักลงทุนต่อนโยบายกีดกันการค้า ปัญหาประเทศตุรกี ความมั่นใจในเศรษฐกิจจีนจากปัญหาสงครามการค้า เป็นต้น.