จี้รัฐไทยรับมือจีนดั้มพ์สินค้า
เชื่อไม่เกิน 2 ปี จีนยอมสยบสงครามการค้าสหรัฐฯ เจรจาเพื่อผ่อนปรบเงื่อนไขโหด บีบทุนต่างชาติ”คลายเทคโนโลยี-ขายหุ้น” จี้รัฐบาลไทยหาทางรับมือแผนดั้มพ์สินค้าหลังจีน ห่วงไทยอาจติดข่าย “ผู้ร้าย” โดนสหรัฐฯเล่นงาน
ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการอิสระ และอดีตกรรมการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวถึงปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนว่า เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจของสหรัฐฯค่อนข้างแข็งแกร่ง และสามารถจะอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งพาการส่งออกหรือนำเข้าจากต่างประเทศ หากสงครามขยายตัวไปมากกว่านี้ ขณะที่จีนเองน่าจะมีความอดทนในด้านนี้ได้น้อยกว่า
ดังนั้น จึงมองว่าท้ายที่สุดแล้ว ในภาวะที่สหรัฐฯถือไพ่เหนือกว่า จะเป็นฝ่ายจีนที่พยายามหาทางเจรจาเพื่อลดผลกระทบจากปัญหาข้างต้น และเป็นฝ่ายโอนอ่อนให้กับสหรัฐฯ ด้วยการยอมลดหรือยกเลิกเงื่อนไขที่เคยบังคับให้นักลงทุนต่างชาติต้องถ่ายทอดเทคโนโลยี และลดหรือยกเลิกการบังคับให้ฝ่ายจีนต้องเข้ามาถือหุ้นกิจการของต่างชาติ ทั้งนี้ เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะยังคงอยู่และน่าจบปัญหาสงครามการค้าได้ภายใน 2 ปี
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงจากผลพวงของปัญหาดังกล่าว คือ หากจีนได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ อาจเป็นไปได้ว่าจีนจะนำสินค้าที่ได้รับผลกระทบ เช่น สินค้าในกลุ่มเหล็กและอิเล็กทรอนิกส์ มาขายดั้มพ์ราคาในไทย ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงต้องวางแผนรับมือไว้เสียแต่เนิ่นๆ ส่วนการส่งออกสินค้าไทยไปยังตลาดสหรัฐฯทดแทนสินค้าจีนนั้น มองว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากสินค้าไทยส่วนใหญ่เป็นสินค้าขั้นกลางที่ส่งออกไปจีน เพื่อผลิตและส่งไปขายต่อยังตลาดสหรัฐฯและกลุ่มประเทศอื่นๆ
นายศิวัสน์ เหลืองสมบูรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวเสริมว่า ปีนี้ จีนอาจไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ามากนัก แต่ในปีหน้าผลของมันจะลุกลามและบานปลายมากขึ้นจึงน่าที่จีนจะต้องเร่งหาทางเจรจาเพื่อยุติปัญหาดังกล่าวภายในปีหน้า เนื่องจากจีนคงไม่อาจทนต่อสภาพการณ์เช่นนี้ได้นานนัก
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า สไตล์การบริหารประเทศของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ มักจะมองหา “ผู้ร้าย” ที่รังแกสหรัฐ และก็เป็นเขาที่เข้ามาช่วยกอบกู้หรือแก้ไขปัญหาให้สหรัฐฯ ตอนนี้อาจเป็นจีน อนาคตอาจเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และไทยก็อาจเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่ถูกมองว่าเอาเปรียบและเป็น “ผู้ร้าย” คอยรังแกสหรัฐฯ หลังจากกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ รายงานก่อนหน้านี้ว่า การย้ายโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ยี่ห้อ “ฮาร์เลย์ เดวิสัน” มายังประเทศไทย และการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี คือ การเป็น”ผู้ร้าย” ในสายตาของ ปธน.ทรัมป์
“เรื่องการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ เป็นเพียงข้ออ้างที่สหรัฐฯไม่ได้พูดความจริง เนื่องจากสหรัฐฯได้เปรียบดุลบริการจากทั่วโลกมากมาย ทั้งจากลิขสิทธิ์ไอโอเอส, แอนดรอยด์ หรือแม้แต่เพลงและภาพยนตร์ แต่สหรัฐฯไม่เคยพูดถึงเลยเรื่องนี้ หรือนำมาหักลบกับการขาดดุลการค้าเลย”
ด้านนาย สิทธิชัย พุคยาภรณ์ ผู้ช่วยผู้บริหารงานขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงค่าเงินบาทของไทยว่า หากดูข้อมูลย้อนหลังช่วง 3 เดือนแรกของปี พบว่าค่าเงินบาทแข็งค่าตามเงินสกุลหลักของเอเชีย แต่หลังจากนั้นจนถึงปัจจุบัน กลับอ่อนค่าลงตามภูมิภาคเช่นกัน ทั้งนี้ คาดว่าค่าเงินบาทของไทย น่าจะอ่อนค่าลงไปถึง 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แค่คงทะยอยปรับค่าลดลง ในระดับ 33.10-33.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ไปก่อน
ส่วนกรณีค่าเงินลีราของตุรกีที่อ่อนตัวอย่างรุนแรงนั้น เชื่อว่า หากคุมสถานการณ์ไม่อยู่ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป ส่วนจะส่งผลกระทบต่อไทยอย่างไรนั้น คงต้องพิจารณาค่าเงินบาทเทียบกับค่าเงินสกุลหลักของโลก นอกเหนือจากดอลลาร์สหรัฐ ก็คงต้องเทียบกับเงินยูโรดอลลาร์ ปอนด์สเตอริง เงินหยวนและเงินเยน.