บสก.ยึดผลกำไรควบให้สังคมทะลุเป้า
“บรรยง วิเศษมงคลชัย” ยืนยันแนวทางของ บสก.เน้นทำธุรกิจควบคู่คืนกำไรให้กับสังคม ชี้ผลลัพธ์ดีเกินคาด ตัวเลขทุกตัวดีขึ้นยกแผง ชี้ยึดหลักปฏิบัติกับลูกหนี้เอ็นพีแอลและลูกค้าเอ็นพีเอระดับชั้นดีของแบงก์ ช่วยลดภาระรายจ่ายแฝงปีละหลายสิบล้าน ระบุแค่ขายทรัพย์ตรงผ่านรายใหญ่ รวมขายรายย่อยผ่านป้ายและออกบูธ ยอดทะลุ 6,000 ล้านแล้ว
นายบรรยง วิเศษมงคลชัย ประธานกรรมการบริหาร บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (บสก.) กล่าวถึงนโยบายการบริหารงานของ บสก.จากนี้ ว่า เป็นไปตามแนวทางที่นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ให้ไว้คือ ดำเนินธุรกิจที่เน้นทำกำไรอย่างเหมาะสม ควบคู่กับการคืนกำไรให้กับสังคม ทั้งนี้ เชื่อว่าจะเป็นแนวทางการดำเนินงานที่ยั่งยืน และเป็นที่ยอมรับจากสังคม ขณะที่ผลการดำเนินงานก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด
“แน่นอนว่าการทำธุรกิจ เราต้องตอบโจทย์ของเจ้าของ ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสีย แต่ต้องไม่ลืมที่จะตอบแทนสังคม โดยในส่วนของลูกค้าเอ็นพีแอล เราจะปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนเป็นลูกค้าชั้นดีของธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้ได้กลับมาเป็นเจ้าของสินทรัพย์เหล่านั้นโดยเร็ว ขณะเดียวกันต้องเปิดโอกาสให้กลุ่มคนที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยของตัวเอง ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยตามกำลังที่พวกเขาจะพึงมี”
นายบรรยงกล่าวว่า ส่วนใหญ่ขององค์กรและผู้บริหารทุกระดับในกลุ่มบริษัทบริหารสินทรัพย์ ไม่เข้าใจปรัชญาและหลักการของธุรกิจบริหารสินทรัพย์ที่ต้องเน้นทำกำไรควบคู่กับการสร้างโอกาสให้แก่คนในสังคม ซึ่งจากนี้ไป บสก.จะยึดแนวทางนี้ในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานช่วงที่ผ่านได้พิสูจน์ถึงผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงานของบสก. กล่าวคือ การให้โอกาสลูกค้าได้กลับมาครอบครองสินทรัพย์ของตัวเอง (เอ็นพีแอล) และการได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์รอการขายที่ผ่านการปรับปรุงสินทรัพย์ใหม่ (เอ็นพีเอ) โดยคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำแค่ MLR-3% นั้น
สิ่งนี้ ไม่เพียงให้โอกาสลูกค้าทั้ง 2 กลุ่มในการเข้าถึงทรัพย์สินได้เร็วขึ้น หากยังเป็นการลดภาระรายจ่ายของบสก.ที่ต้องมีจากค่าส่วนกลางของโครงการบ้านจัดสรร (บ้านเดี่ยว) และโครงการคอนโดมิเนียม กว่า 1,000,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ หากนับการออกไปตรวจสอบ (Visit) สินทรัพย์ในส่วนของเอ็นพีเอที่ต้องทำทุกเดือน และเอ็นพีแอลในทุกๆ 3 เดือนแล้ว นับว่าเป็นต้นทุนรายจ่ายแฝงที่ทีมูลค่ารวมกันหลายสิบล้านบาทต่อปีทีเดียว
ประธานกรรมการบริหาร บสก. กล่าวอีกว่า ช่วงที่ผ่านมา บสก.สามารถขายสินทรัพย์ทั้งในกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ผ่านช่องทาง “เสนอขายโดยตรง” (Direct Approach) และลูกค้ารายย่อยผ่านช่องทางป้ายโฆษณา เว็บไซต์ ออกบูธแสดงสินค้า และเพื่อนบอกต่อเพื่อน ได้ผลดีเกินคาด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายที่เปลี่ยนมาเน้นคืนกำไรสังคมมากกว่าจะเน้นการเติบโตของผลกำไร
โดยรายได้จากช่องทาง “เสนอขายโดยตรง” ในช่วง 7 เดือนแรก มีประมาณ 2,000 ล้านบาท ขณะที่ช่องทางขายอื่นๆ โดยเฉพาะช่องทางป้ายโฆษณาที่ปักหรือติดบนทรัพย์สิน และออกบูธแสดงสินค้ารวมกันราว 4,000 ล้านบาท ยังไม่นับรวมยอดขายผ่านเว็บไซต์และเพื่อนบอกต่อเพื่อนที่แม้ยังมีไม่มาก แต่ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จเกินคาด
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 นั้น นายบรรยง ย้ำว่า ขณะอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลในขั้นสุดท้าย และเตรียมจะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการผ่านสื่อมวลชนในวันที่ 4 กันยายนที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ตาม ยืนยันได้ว่าการดำเนินงานที่เน้นการทำธุรกิจควบคู่กับการตอบแทนสังคมนั้นสามารถสร้างผลกำไรที่ไม่ด้อยไปกว่าการเน้นทำกำไรเพียงอย่างเดียว ซึ่งจากตัวเลขของรายได้ยอดขาย และผลกำไรในช่วงครึ่งปีแรก ล้วนสูงกว่าประมาณที่ตั้งไว้ทุกตัวทีเดียว.