ไทยในยุคเปลี่ยนผ่านการเมือง
อัศจรรย์แห่งฟากฟ้า บันดาลให้ “เกมอำนาจ” ในประเทศไทย ที่เคยรวมศูนย์อยู่กับซีก “รัฏฐาธิปัตย์” ใกล้จะกลับสู่วิถีทางแห่งประชาธิปไตย ผ่านการจัดระเบียบ “อำนาจใหม่” ที่ไม่ปล่อยให้…กลุ่มหนึ่งหรือฟากใด ได้หยิบเอาไปใช้สร้างความชอบธรรม อ้างอิงและแอบพึ่งพิงผลประโยชน์กันง่ายๆ อีกต่อไป
ปรากฏการณ์ “ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววัน…นับเวลาถอยหลังกันได้เลย และแม้จะเป็นเพียงวันเดียวของการหย่อนบัตรเลือกตั้ง แต่จะเป็นความหวังที่นำพาบ้านเมืองนี้ กลับคืนสู่หนทางแห่งอารยะประเทศในยุคเปลี่ยนผ่าน…
ผ่านจากยุคดิจิทัลเทคโนโลยีขั้นต้น สู่ขั้นที่สูงกว่า ที่เรียกว่า…ยุคแห่งเทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI
การจัดระเบียบอำนาจในกองทัพครั้งล่าสุด เกิดขึ้นหลังจากที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ “บิ๊กป้อม”รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง และพี่ใหญ่แห่ง “บูรพาพยัคฆ์” ออกมามาพูดในทำนอง “ผมพอแล้ว”ได้ไม่นานนัก
สะท้อนความจริงว่า…”ลาภ ยศ อำนาจ และวาสนา ย่อมมากับความเสื่อม” อันเป็นสัจจธรรมความเป็นจริงอย่างที่สุด!
ไม่เพียงแค่กองทัพ หากแต่ขั้วอำนาจแห่ง “ตุลาการ” ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของอำนาจอธิปไตย ที่คอยคัดคาน…อำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติ ก็เหมือนจะอยู่ในช่วง “ถูกจัดระเบียบ” กันใหม่เช่นกัน
แน่นอนว่า หาก 2 ขั้วอำนาจข้างต้น คือ…กองทัพ และอำนาจตุลาการ กลับสู่หนทางอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว ที่เหลือกับอีก 2 ขั้วอำนาจ ซึ่งดูเหมือนอิงแอบกับอำนาจประชาชนมากที่สุด อย่าง…อำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ ที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา ภายหลังการเลือกตั้งครั้งใหม่
ไม่ว่าจะเป็นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า หรือแค่เลื่อนออกไปอีก 2-3 เดือน เช่นที่ นายวิษณุ เครืองามรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย เคยออกมาพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้
กระนั้น การเลือกตั้งบนแผ่นดินไทย ย่อมต้องเกิดขึ้น! และนำมาซึ่งอำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติอย่างที่ใครคนไหนหรือกลุ่มใด? จะทัดทานและยื้อกันอีกต่อไป…ไม่ได้อีกแล้ว
เมื่อฟ้ากำหนดชะตากรรมว่า…บ้านเมืองไทย ต้องกลับเข้าสู่วิถีทางแห่งประชาธิปไตยให้เร็วและมากที่สุดเพื่อที่รัฐบาลใหม่ ผู้มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนที่เลือกเข้ามา จะได้จัดการบริหารบ้านเมืองให้ก้าวสู่ยุค “ไทยแลนด์ 4.0” เพื่อข้ามขั้นไปสู่ยุคที่ล้ำหน้ากว่า อย่างยุค “5.0 – ปัญญาประดิษฐ์”
การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น เสมือนเป็นเสียงสะท้อนจากคนไทยที่ต้องการประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้ว่าคนไทยต้องการประชาธิปไตย ไม่ต้องการอำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” จากการเข้ายึดอำนาจประชาชน และฉีกรัฐธรรมนูญ หนึ่งในสัญลักษณ์ของระบอบประชาธิปไตย เช่นที่ผ่านมาอีกแล้ว
ถนนและเส้นทางเดินทุกสายที่มีต่างมีจุดหมายปลายทางเดียวกัน นั่นคือ การคืนอำนาจให้กับประชาชนเพื่อที่พวกเขาจะได้ตัดสินใจกันเองว่า…เสียงส่วนใหญ่ของคนไทย ต้องรัฐบาลและผู้นำแบบไหน ที่จะนำพาประชาชนในประเทศนี้ ก้าวข้ามพ้นวังวนแห่งการช่วงชิงอำนาจ ผ่านวาทะกรรมการเมือง ผ่านกลุ่มจัดตั้งบนท้องถนน ที่สุดท้าย จบลงตรงการใช้อำนาจทหารบางกลุ่มในของกองทัพ ด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหาร อันมาจากเงินภาษีของประชาชนคนไทย
อย่างที่หลายฝ่ายต่างวิเคราะห์ได้ต้องตรงกัน นั่นคือ ทันทีที่รัฐบาล คสช. ส่งต่ออำนาจให้กับรัฐบาลประชาธิปไตย แม้จะมีการซุกซ่อนและวางฐานอำนาจบางอย่างเอาไว้…
ผ่านการแปลง “คำสั่งมาตรา 44” ไปเป็นกฎหมายหลัก
ผ่านการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 200 คน
และผ่านการแต่งตั้งและสรรหาคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่จะคอยกำกับ ดูแล ควบคุม คัดท้ายและเชือดเฉือน หากรัฐบาลใหม่ดำเนินนโยบายที่ผิดแผกไปจากสิ่งที่คณะกรรมการชุดนี้วางไว้
ซึ่งกลุ่มทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเครือข่าย “แม่น้ำ 5 สาย” ที่ คสช. เคยใช้บริการ และหวังจะใช้บริการอีกครั้งเมื่อพวกเขาก้าวลงจากหลังเสือแล้ว
แต่ทันทีที่ประเทศไทย มีรัฐบาลชุดใหม่ที่อิงอยู่กับอำนาจประชาชน ทิศทางและแนวโน้มเศรษฐกิจของไทย ในสายตาของนักธุรกิจน้อยใหญ่ นักวิชาการ และนักวิเคราะห์การเมือง ทั้งในและนอกประเทศ ย่อมจะดีขึ้นทันตา…
เงื่อนปมที่ถูกกดทับ ถูกสั่งห้าม และถูกตั้งกำแพงกั้นขวางไว้สูงเสียดฟ้า จะค่อยๆ ทะลายลง จนหายไปในที่สุด เกมการแข่งขั้นในเชิงเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนบนความเป็นธรรม จะช่วยทำให้นักธุรกิจและผู้ส่งออกของไทย ก้าวสู่ภาวะการแข่งขันที่ไม่เสียเปรียบและไม่ถูกขึงพืดเช่นที่เคยเป็นมาในห้วงเวลากว่า 4ปี ที่ผ่านมา
ชะตากรรมประเทศไทยและคนไทย ดูเหมือนจะถูกผูกมัดไว้กับรัฐบาล คสช. ซึ่งถือเป็นรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร และอยู่ในอำนาจยาวนานที่สุดในรอบหลายสิบปี
แต่เป็นไปในลักษณะ “ผกผัน” เมื่อฝ่ายหนึ่งไปได้ดี อีกฝ่ายดูเหมือนจะตกต่ำ
การที่ทุกเสียงส่วนใหญ่จากทุกฝ่าย ต่างพยายามเร่งเร้าให้รัฐบาล คสช. เร่งรัดจัดการเลือกตั้งให้เกิดขึ้นในเร็ววัน บนแผ่นดินไทย
นั่นมิต่างจากความต้องการจะปฏิเสธความมีตัวตนของรัฐาล คสช. ภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.
กระนั้น ไม่ว่า พลเอกประยุทธ์ และคณะ คสช. อยากหรือไม่อยากลงจากอำนาจก็ตาม แต่ทว่า ฟ้าได้กำหนดชะตากรรมไว้แล้วว่า…ประเทศไทยคงถึงเวลาเปลี่ยนผ่าน จากยุคอำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” สู่ยุคอำนาจที่ประชาชนจะมีสิทธิ์มีเสียง เลือกชะตาชีวิตของพวกเขากันเองเสียที
ในเมื่อพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ออกมาบอกเองว่า “ผมพอแล้ว” แล้วน้องเล็กแห่งขั้วอำนาจทหารเสือฯ ยังจะคิดเดินหน้าท่ามกลางอุปสรรคและขวากหนามน้อยใหญ่ขั้นขวางตลอดหนทางแห่งการสืบทอดอำนาจกันอีกหรือ?
หรือเพราะภาพในอดีต นับแต่ปี 2552-2553 มันตามหลอกหลอน จนมิกล้าจะก้าวลงจากหลังสือ จนกว่าจะฆ่าเสือทุกตัวตายหมดป่าเสียก่อน.
ทีมข่าวการเมือง…รายงาน