เพื่อไทย ยื่น ป.ป.ช. เอาผิด แก๊ง “ทุจริตถุงมือยาง” แสนล้าน
พรรคเพื่อไทย นำโดย ประเสริฐ จันทรรวงทอง ยื่น ป.ป.ช. เอาผิด แก๊ง “ทุจริตถุงมือยาง” แสนล้าน
เมื่อวันที่ 10 มี.ค. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อให้ไต่สวนหาตัวผู้กระทำผิด กรณีการทุจริตทำสัญญาลวงซื้อขายถุงมือยางขององค์กรคลังสินค้า (อคส.) มูลค่า 112,500 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท รวมทั้งติดตามเงินของ อคส. คืน โดยการดำเนินการครั้งนี้เป็นการขับเคลื่อนต่อยอดจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา อีกทั้งตลอดเวลาจนถึงขณะนี้ฝ่ายรัฐบาลยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ กับกรณีนี้ ส่งผลให้ผู้ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต ยังคงอยู่ในตำแหน่งและมีอำนาจครอบงำ อคส. ทั้งทางตรงและทางอ้อมเข้าไปเกี่ยวข้องกับพยานหลักฐาน
นายประเสริฐ เรียกร้องให้ ป.ป.ช.ไต่สวนเป็นกรณีเร่งด่วนกับบุคคลที่อยู่ในข่ายตามกฎหมายที่ต้องรับผิดชอบต่อกรณีการทุจริตดังกล่าว ประกอบด้วย
1. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
เป็นเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย กรณีจงใจร่วมกับ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปกปิดการกระทำทุจริตในหน่วยงานของรัฐ
ละเว้นไม่ระงับยับยั้งความเสียหายอันเกิดจากการทุจริต ทำให้ผู้กระทำผิดยักย้าย ซ่อนเร้น จำหน่ายจ่ายโอนเงินที่ทุจริตไปจนสิ้น ทั้งที่อยู่ในวิสัยและอำนาจหน้าที่จะระงับยับยั้งความเสียหายได้แต่ละเว้นไม่กระทำการ ทั้งที่รู้เรื่องการทุจริตว่าก่อนหน้าวันที่ 14 กันยายน 2563 แต่กลับร่วมปกปิดการทุจริตในเรื่องนี้ ทำให้สูญเงินของรัฐที่จะระงับยับยั้งได้ไม่น้อยกว่า 400 ล้านบาท
2. นายจุรินทร์ ในฐานะผู้กำกับดูแล อคส.
เป็นเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ กรณีเอื้อประโยชน์แต่งตั้งคนสนิทและผู้ช่วย ส.ส. โดยไม่มีคุณสมบัติ ความรู้ ความสามารถเฉพาะตำแหน่งตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นประธานคณะกรรมการ อคส. และภายหลังแต่งตั้งมีการจัดทำสัญญาลวงซื้อขายถุงมือยางของ อคส. มูลค่า 112,500 ล้านบาท มูลค่าความเสียหาย 2,000 ล้านบาท โดยมีพยานหลักฐานเป็นรายงานการประชุมและคลิปเสียง
ละเว้นการที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและร่วมปกปิดการทุจริต ทำให้สูญเงินของรัฐที่จะระงับยับยั้งได้ไม่น้อยกว่า 400 ล้านบาท
มีพฤติกรรมหลายประการที่ส่อว่ารู้เห็นเป็นใจกับประธานคณะกรรมการ อคส. อันเป็นความผิดต่ออำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.ฎ.จัดตั้งองค์การคลังสินค้า (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2535 และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2542
3. นายสุชาติ เตชจักรเสมา ประธานกรรมการ อคส.
เป็นเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อกฎหมาย และมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2542
4. กรรมการ อคส.
เป็นเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อกฎหมาย และมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2542
กระทำผิดต่อหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2542 พ.ร.ฎ.จัดตั้งองค์การคลังสินค้า (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2535
5. พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ รักษาการแทนผู้อำนวยการ อคส.
เป็นเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อกฎหมาย และมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2542 พ.ร.ฎ.จัดตั้งองค์การคลังสินค้า (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2535 กับพวกอีกหลายรายในลักษณะแบ่งแยกหน้าที่กันกระทำ
นายประเสริฐ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ต้องรักษาผลประโยชน์ของรัฐ และในฐานะผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจในเรื่องนี้ หวังว่าจะเป็นบทพิสูจน์การทำหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ด้วยว่ามีความกล้าหาญในการตรวจสอบทุจริตของรัฐบาลประยุทธ์ ไม่ปล่อยให้คนผิดลอยนวล และหน่วยงานของรัฐต้องสูญเสียเงินจากการทุจริตครั้งนี้