สหรัฐฯขาดดุลการค้าเพิ่ม นำเข้าพุ่งทุบสถิติ
สหรัฐฯนำเข้าสินค้าพุ่งสูงทุบสถิติในเดือนม.ค. และทำให้ประเทศขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 1.9% ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบกับการค้าทั่วโลก
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯรายงานว่า สหรัฐฯนำเข้าสินค้าและบริการเพิ่มเป็น 68,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิม 67,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ตัวเลขส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น 1% เป็น 191,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้าขยายตัว 1.2% เป็น 260,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 221,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในเดือนม.ค. สูงที่สุดเป็นเวชภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ( หรือ 39%) เป็น 17,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่นำเข้าบริการลดลงประมาณ 1%
ในเดือนเดียวกัน สหรัฐฯส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 135,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การส่งออกบริการ เช่น การคมนาคมขนส่งและการเดินทาง ลดลง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเป็น 56,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แม้จะมีประเด็นการเมืองกับจีน แต่สหรัฐฯขาดดุการค้ากับจีนลดลง 3.2% มาอยู่ที่ 27,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ขาดดุลการค้ากับเม็กซิโกเพิ่มขึ้น 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 11,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในเดือนม.ค.
โควิด-19 ส่งผลกระทบกับการค้าในภาคบริการ เช่น การศึกษาและเดินทาง ซึ่งเป็นภาคส่วนเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ ยังคงเกินดุลการค้า่ เมื่อวัดเป็นมูลค่าดอลลาร์สหรัฐฯ การส่งออกบริการของสหรัฐฯรายเดือนลดลงเกือบ 1 ใน 5 ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของไวรัสเมื่อหนึ่งปีก่อน
เมื่อเทียบกับเดือนม.ค.ปี 2563 สหรัฐฯขาดดุลสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นเป็น 23,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 53.7%
ในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์รายงานว่าในปี 2563 สหรัฐฯขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 18.1% มาอยู่ที่ 682,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด – 19 สั่นคลอนการค้าทั่วโลก เป็นช่วงเวลาทับซ้อนกับที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์พยายามจะปรับสมดุลการค้าของสหรัฐฯกับประเทศอื่นๆในโลก
ข้อมูลการค้าล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 5 มี.ค. เป็นข้อมูลที่ยังครอบคลุมช่วงเวลาการบริหารประเทศของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งเริ่มต้นทำสงครามการค้ากับจีน และตั้งกำแพงภาษีเหล็กและสินค้าอื่นกับประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่นับเป็นการยุตินโยบายของสหรัฐฯในรอบ 7 ทศวรรษที่ผ่านมา
จนถึงตอนนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนยังต้องเผชิญกับผลกระทบของนโยบายการค้าที่เข้มงวดของทรัมป์ โดยไบเดนไม่ได้ยกเลิกสงครามการค้ากับจีน และชี้ว่าเขาจะยังไม่ทบทวนภาษีที่จัดเก็บกับเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้า
สุดยอดนักเจรจาการค้าที่ไบเดนเลือกให้มาร่วมคณะทำงา่นคือ แคธเธอรีน ไท่ ซึ่งสัญญาจะทำให้นโยบายการค้าสหรัฐฯ เอื้อผลประโยชน์กับแรงงานในสหรัฐฯ ไม่เพียงแค่ความร่วมมือกันเท่านั้น และจะหนุนให้พันธมิตรของสหรัฐฯ รับมือกับบทบาทของจีนที่โดดเด่น
ทั้งนี้ ไท่กำลังรอมติเห็นชอบจากวุฒิสภา เธอเชี่ยวชาญภาษาจีนกลาง และทำงานหลายปีในสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายกับจีน