อนุทิน บุคคลประวัติศาสตร์ ฉีดวัคซีน คนแรกของไทย
อนุทิน ชาญวีรกูล ฉีดวัคซีนของ บริษัท ซิโนแวคไบโอเทค เป็นคนแรกของไทย
เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 28 ก.พ. ที่อาคารหอประชุมอัจฉรา สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด – 19 ให้ผู้แทนกลุ่มเป้าหมาย ครั้งแรกในประเทศไทย โดยเป็นการฉีดวัคซีนของบริษัท ซิโนแวคไบโอเทค ประเทศจีน
โดยในการฉีดวัคซีน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข เป็นคนแรกของไทย ที่ได้รับวัคซีน โดยมี นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ เป็นผู้ฉีดให้ ตามด้วย นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นไปตามคำแนะนำของคณะแพทย์ ซึ่งการฉีดวัคซีนนั้น มีขั้นตอนอยู่แล้ว เหมือนกับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่วิธีไม่ต่างกันนัก โดยวันนี้มั่นใจว่าทุกคนได้รับการดูแลที่มาตรฐานและมีประสิทธิภาพ ยืนยันว่า ไม่มีใครกลัวทั้งนั้น ถ้าจะทำให้ปลอดภัย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขอเชิญชวนประชาชน เข้ารับการตรวจสอบและฉีดวัคซีน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ สร้างภูมิต้านทาน ลดโอกาสการติดเชื้อโควิด-19 วันนี้จึงถือว่าเป็นวัคประวัติศาสตร์อีกวัน ที่มีการฉีดวัคซีนเพื่อคนไทย
“อย่าดราม่ามาก ขอร้องสื่อ เพราะไม่เป็นผลดีกับใครเลย เหนื่อยกันทุกคน ขอให้มั่นใจบุคลากรของเรา วันประวัติศาสตร์ที่สำคัญกว่านี้คือวันที่โควิด-19 ปลอดจากประเทศไทย วันที่ประเทศไทยกลับสู่ความสงบสุข มีเสถียรภาพ”
นายอนุทิน กล่าวว่า ส่วนวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ยืนยันว่าไม่ได้มีความล่าช้า แต่อยู่ที่กระบวนการจัดการภายใน สำหรับการฉีดวัคซีนกว่า 3 แสนโดส ในล็อตแรกถือว่าเป็นเรื่องดี โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ จะฉีดวัคซีนให้ครบตามแผน พร้อมกับหาวัคซีนเพิ่มเติม เผื่อกรณีฉุกเฉิน
ด้าน นพ.อภิชาต วชิรพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร กล่าวว่า สถาบันบำราศนราดูรได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของซิโนแวค 3,000 โดส ขณะนี้เก็บไว้ที่คลังยาในตู้แช่ยาที่ความเย็น 2-8 องศา และเตรียมสถานที่ที่หอประชุมอัจฉราและตู้เย็นสำหรับเก็บยา โดยจะฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมาย อายุ 18-59 ปี จำนวน 1,500 คน ได้แก่ บุคลากรสาธารณสุขด่านหน้า เจ้าหน้าที่ที่ดูแลหรือต้องสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโควิด 19 เจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่มีโอกาสสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน โรคอ้วน