คลังหวัง “วัคซีนฯ-สงกรานต์” กระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง
สศค.หวังวัคซีนโควิดฯและการผ่อนคลายกิจกรรมช่วงสงกรานต์ของรัฐบาล จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง เผย! ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคเอกชนเดือน ม.ค.64 หล่นวูบ! ทั้งด้านการลงทุนและบริโภค เหตุจากกังวลใจพิษโควิดฯระบาดรอบใหม่ เชื่อสถานการณ์จากนี้จะเริ่มดีขึ้น พร้อมปรับตัวเลขเศรษฐกิจหลัง เม.ย.นี้
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะ รองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)และ นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผอ.สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สศค. แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมกราคม 2564 ว่า ได้เกิดสัญญาณชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้า ทั้งในด้านการใช้จ่ายภายในประเทศ และด้านการท่องเที่ยว เป็นผลจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่
ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน จนลดลงมาอยู่ที่ระดับ 47.8 จากระดับ 50.1 เมื่อช่วงธันวาคม 2563 ส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะยอดขายรถยนต์นั่ง -46.9% ขณะที่ปริมาณรถยนต์จดทะเบียนใหม่ -6.6% ส่วนยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ – 5.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน สอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ลดลงร้อยละ -7.8 อย่างไรก็ดี รายได้เกษตรกรในเดือนมกราคม 2564 ยังคงขยายตัวได้ที่ร้อยละ 8.0 ต่อปี รวมถึงการส่งออกสินค้ายังขยายตัวได้ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า
โดย การลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์กลับมาลดลงร้อยละ -5.4 ต่อปี ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ สำหรับ การลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ขยายตัวร้อยละ 1.6 ต่อปี ซึ่งการจัดเก็บภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ลดลงที่ร้อยละ -9.9 ต่อปี
ด้าน เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 0.4 ต่อปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และความต่อเนื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศ โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่
1) สินค้าอาหาร เช่น น้ำมันปาล์ม และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ที่ขยายตัวร้อยละ 345.1 และ 50.5 ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับการส่งออกผักและผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และอาหารสัตว์เลี้ยงที่ขยายตัวต่อเนื่อง
2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) อาทิ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์และอุปกรณ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อาทิ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เตาไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เป็นต้น
และ 3) สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ และถุงมือยาง นอกจากนี้ ยังมีสินค้าที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น
อย่างไรก็ดี การส่งออกทองคำ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบลดลง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ตลาดคู่ค้าหลักของไทยเกือบทุกตลาดปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ที่ร้อยละ 12.4 ต่อปี เช่นเดียวกับการส่งออกไปทวีปออสเตรเลียและจีนขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 30.3 และ 9.9 ต่อปี ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปตลาด CLMV กลับมาขยายตัวในรอบ 10 เดือนที่ร้อยละ 3.8 ต่อปี
รองโฆษก สศค. ยังระบุว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 83.5 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในหลายจังหวัด ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัว ประกอบกับผู้ส่งออกประสบปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ไม่เพียงพอ ทำให้มีต้นทุนค่าขนส่งทางเรือเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตข้าวเปลือก มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
สำหรับ บริการด้านการท่องเที่ยว พบว่า ในเดือนมกราคม 2564 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa: STV) รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) และนักธุรกิจ จำนวน 7,649 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวยุโรป โดยเฉพาะฟินเเลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ เเละเดนมาร์ก นอกจากนี้บางส่วนเป็นนักท่องเที่ยวชาวอาเซียน อาทิ สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย
“เนื่องจากนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูง เชื่อว่าค่าใช้จ่ายต่อหัวน่าจะสูงกว่าช่วงภาวะปกติ แต่ สศค.ยังรอตัวเลขที่ชัดเจนจากกระทรวงการท่องเที่ยวฯ สำหรับประมาณการเดิมที่ตั้งไว้ว่าปีนี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาราว 5 ล้านคนนั้น ขณะนี้ยังไม่มีการปรับประมาณการใหม่แต่อย่างใด” นายวุฒิพงศ์ ระบุและว่า
การได้รับวัคซีนโควิดฯล็อตแรกเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 น่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เนื่องจากหลายประเทศในยุโรปและอเมริกา รวมถึงจีน ต่างเริ่มฉีดวัคซีนให้คนประเทศมาก่อนแล้ว ขณะที่ประเทศไทยเพิ่งได้รับ ส่วนตัวเชื่อว่า การได้รับวัคซีนฯจะมีส่วนทำให้รัฐบาลผ่อนคลายการจัดกิจกรรมในเทศกาลสงกรานต์ เห็นได้ว่าหลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดฯรายใหม่เริ่มลดลง คนไทยก็หันมาท่องเที่ยวมากขึ้น และหากเริ่มฉีดวัคซีน เชื่อว่าการท่องเที่ยวในประเทศและจากต่างประเทศจะคึกคักขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ รองโฆษก สศค. ย้ำว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.3 ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.2 ต่อปี ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 อยู่ที่ร้อยละ 52.1 ต่อ GDPซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมกราคม 2564 อยู่ในระดับสูงที่ 256.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะที่ นายพิสิทธิ์ กล่าวเสริมว่า การปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจครั้งใหม่ จะเกิดขึ้นในช่วงหลังสิ้นเดือนเมษายน 2564 ซึ่งการได้รับวัคซีนโควิดฯ ย่อมมีผลต่อการปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจำเดือนมกราคม 2564
“เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมกราคม 2564 ส่งสัญญาณชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าในหลายภูมิภาค จากอุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง ส่วนหนึ่งจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังสามารถขยายตัวได้” นายพิสิทธิ์ ระบุ
ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (RSI) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 นั้น จากตัวเลขเศรษฐกิจที่มี บ่งชี้ว่า แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากคาดการณ์ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่มีแนวโน้มคลี่คลายลง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑลยังชะลอตัว