จอห์นสัน&จอห์นสันขอขึ้นทะเบียนวัคซีนจาก FDA
บ.จอห์นสัน & จอห์นสันยื่นขอขึ้นทะเบียนวัคซีนต้านโควิด-19 เพื่อการใช้งานฉุกเฉินจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่เผยแพร่ในสัปดาห์ก่อนว่า วีคซีนของบริษัทมีประสิทธิภาพประมาณ 66% ในการป้องกันไวรัสโควิด-19
หากวัคซีนผ่านการอนุมัติรับรองจาก FDA จะเป็นวัคซีนต้านโควิด-19 ตัวที่ 3 ในสหรัฐฯ ต่อจากวัคซีนของบ.ไฟเซอร์ – ไบโอเอ็นเทค และบ.โมเดอร์นา โดยวัคซีนของไฟเซอร์ผ่านการรับรองขึ้นทะเบียนเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. และของโมเดอร์นาในอีกสัปดาห์ต่อมา
“การยื่นขอเพื่อการใช้งานฉุกเฉินสำหรับวัคซีนต้านโควิด-19 โดสเดียวของเรา ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดภาระจากโรคระบาดให้กับประชาชนทั่วโลกและยุติการแพร่ระบาด” ดร.พอล สตอฟเฟลส์ ประธานเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ของบริษัทระบุในแถลงการณ์ “หากมีการอนุมัติวัคซีนของเราเพื่อใช้งานฉุกเฉินแล้ว เราพร้อมเริ่มจัดส่งในทันที ”
ทางคณะกรรมการวัคซีนและผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่เกี่ยวข้องของ FDA มีกำหนดประชุมในวันที่ 26 ก.พ. เพื่ออนุมัติการใช้งานฉุกเฉิน
ทางการสหรัฐฯและนักวิเคราะห์วอลล์สตรีทต่างรอคอยการอนุมัติวัคซีน J&J ของ FDA ซึ่งอาจทราบผลในเดือนนี้
เนื่องจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนพยายามเร่งกระบวนการฉีดวัคซีนในสหรัฐฯให้เร็วขึ้น และผู้เชี่ยวชาญระบุว่า รัฐบาลของไบเดนต้องการทั้งยาและวัคซีนเพื่อพิชิตไวรัส ที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้วกว่า 450,000 คนในรอบปีที่ผ่านมา จากข้อมูลที่รวบรวมโดยมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์
แตกต่างจากวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นาที่ต้องฉีด 2 โดส ห่างกันประมาณ 3 – 4 สัปดาห์ วัคซีนของ J&J จะฉีดเพียงโดสเดียว ช่วยให้การขนส่งและกระจายวัคซีนง่ายขึ้น
โดยเมื่อวันที่ 29 ม.ค. J&J ระบุว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพ 66% ในการป้องกันไวรัส อย่างไรก็ตาม สำหรับโควิดกลายพันธุ์ ประสิทธิภาพดูจะลดลง เนื่องจากระดับประสิทธิภาพอยู่ที่ 57% ในแอฟริกาใต้ ซึ่งมีไวรัสกลายพันธุ์ที่ทำให้แพร่ระบาดเร็วขึ้นที่มีชื่อเรียกว่า B1351 โดยรัฐเซาธ์แคโรไลนาเป็นที่แรกในสหรัฐฯ ที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อรายแรกจากไวรัสกลายพันธุ์ในแอฟริกาใต้ในเดือนม.ค.
ผู้เชี่ยวชาญโรคติดต่อชี้ว่า วัคซีน J&J ไม่สามารถเปรียบเทียบได้โดยตรงกับวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา เนื่องจากวัคซีน J&J ฉีดเพียงโดสเดียว และบริษัททำการทดสอบวัคซีนในช่วงที่มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นและมีไวรัสกลายพันธุ์ที่ทำให้มีการระบาดมากขึ้น
ดร.แอนโธนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญโรตติดต่อของสหรัฐฯระบุว่า ข้อมูลสำคัญของ J&J คือ วัคซีนดูจะมีประสิทธิภาพ 85% ในการป้องกันอาการรุนแรงของโรค
“ ที่สำคัญที่สุด ที่สำคัญกว่าการป้องกันไม่ให้มีการปวดและเจ็บคอคือการป้องกันผู้คนจากอาการรุนแรงของโรค”
ผอ.สถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติระบุในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 29 ม.ค. “ ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเครียดและความเจ็บปวดของผู้คนและการเสียชีวิตในการระบาดนี้”
ทาง FDA ระบุว่า จะขึ้นทะเบียนรับรองวัคซีนที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพอย่างน้อย 50% เมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยทั่วไปช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้ฉีดจะเป็นไข้หวัดใหญ่ได้ 40% – 60% เทียบกับผู้ที่ไม่ได้ฉีด อ้างอิงจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค
กระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯประกาศในเดือนส.ค.ปีที่แล้วว่า ได้ตกลงสั่งซื้อวัคซีนจาก Janssen ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ J&J จำนวน 100 ล้านโดส โดยในข้อตกลงยังให้ทางเลือกที่รัฐบาลกลางจะสั่งซื้อวัคซีนเพิ่มได้อีก 200 ล้านโดสด้วย