‘ไบเดน’ จ่อแบนประเทศพบไวรัสกลายพันธุ์
เมื่อวันที่ 25 ม.ค. ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐฯจะลงนามในคำสั่งห้ามนักเดินทางที่ไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ ที่มาจากแอฟริกาใต้เข้าประเทศ เนื่องจากเป็นแหล่งกำเนิดของไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ อ้างอิงจากแหล่งข่าว
นอกจากนี้ ไบเดนจะลงนามในคำสั่งห้ามเดินทางเข้าประเทศสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน ที่มาจากทั้งสหราชอาณาจักรและบราซิล ซึ่งไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์อุบัติขึ้น โดยมาตรการคุมเข้มนี้จะมีผลเช่นกันกับประเทศไอร์แลนด์และประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป ทั้งนี้ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งยกเลิกคำสั่งห้ามเดินทางเหล่านี้ก่อนที่ไบเดนจะเข้าทำงานในทำเนียบขาว
โดยสื่อรอยเตอร์ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับคำสั่งห้ามเดินทางนี้ในวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา
แพทย์หญิงแอนน์ ชูแชต รองผอ.ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ระบุว่า ทางหน่วยงานขอให้มีมาตรการนี้เพื่อปกป้องชาวอเมริกัน และเพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้ไวรัสที่กลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาด และส่งผลให้สถานการณ์โรคในสหรัฐฯ ยิ่งเลวร้ายลงอีก
ก่อนที่ไบเดนจะเข้ารับตำแหน่ง เจน พีซากี ว่าที่โฆษกทำเนียบขาวกล่าววิจารณ์ทรัมป์ที่ยกเลิกคำสั่งไม่ให้นักเดินทางนานาชาติเข้าสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดและการติดเชื้อทั่วโลก
โดยพีซากีทวีตข้อความว่า “ เราวางแผนจะปรับให้มาตรการสาธารณสุขเคร่งครัดขึ้น ด้วยการห้ามนักเดินทางนานาชาติเข้าสหรัฐฯเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19”
เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ทรัมป์ลงนามคำสั่งให้ยกเลิกมาตรการคุมเข้มไม่ให้นักเดินทางนานาชาติ ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกันจากยุโรป สหราชอาณาจักรและบราซิลเข้าสหรัฐฯ โดยมีผลตั้งแต่ 26 ม.ค.เป็นต้นไป
คำสั่งจากไบเดนจะมีผลให้รัฐบาลสหรัฐฯเริ่มคุมเข้มการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ทำให้พลเมืองอเมริกันต้องแสดงผลตรวจโควิด-19 ว่าไม่ติดเชื้อก่อนขึ้นเครื่องบิน
นายแพทย์แอนโธนี ฟาวซี ที่ปรึกษาสาธารณสุขประจำทำเนียบขาวระบุว่า วัคซีนต้านโควิด-19 ที่มีใช้อยู่ดูจะมีประสิทธิภาพลดลงกับไวรัสที่กลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ แต่ยังคงมีผลในการป้องกันการติดเชื้อเพียงพอ
โดยในวันที่ 24 ม.ค. ทาง CDC ยังได้ประกาศว่า จะไม่ให้สายการบินมีทางเลือกที่จะทำการบินไปประเทศที่ตรวจหาเชื้อโควิด-19 น้อย
จนถึงตอนนี้ โควิด-19 ทำให้สหรัฐฯมีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 25 ล้านราย และคร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้วอย่างน้อย 417,000 รายตั้งแต่เริ่มมีการระบาดในประเทศ จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์
สหรัฐฯ ยังไมมีรายงานว่าพบผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่จากแอฟริกาใต้ แต่มีหลายรัฐที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่จากสหราชอาณาจักร