SCB EIC ลดเป้าส่งออกปีนี้เหลือ โต 4%
EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ปรับลดเป้าหมายการส่งออกปีนี้ลงเหลือโต 4%จากเดิมที่ 4.7% ผลจากการระบาดระลอก 2 ทำให้มูลค่าส่งออกปี 2021 มีแนวโน้มโตช้ากว่าคาด
EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า EIC ปรับลดคาดการณ์มูลค่าส่งออกไทยปี 2021 ลงเล็กน้อยเป็น 4.0% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 4.7% แม้มูลค่าการส่งออกของไทยในเดือนธันวาคม 2020 จะขยายตัวดีกว่าคาดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเป็นการกลับมาขยายตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 เป็นต้นมา ซึ่งการกลับมาขยายตัวสอดคล้องกับตัวเลขส่งออกของหลายประเทศสำคัญ สะท้อนการฟื้นตัวของภาวะการค้าโลกก่อนที่จะมีการกลับมาระบาดระลอกสองในหลายประเทศคู่ค้าหลักรวมถึงในไทยเองด้วย
โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยล้วนกลับมาขยายตัวได้ในเดือนนี้ ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ (3.2%YOY) อิเล็กทรอนิกส์ (15.9%YOY) เคมีภัณฑ์และพลาสติก (9.5%YOY%) ดังนั้น จึงทำให้มูลค่าการส่งออกทั้งปี 2020 หดตัวน้อยกว่าคาดที่ -6.0% (เทียบกับที่เคยคาดไว้ที่ -8.0%)
การส่งออกไทยปี 2020 ได้รับผลกระทบหนักจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้ทั้งปีหดตัวถึง -6.0% และหากไม่รวมการส่งออกทองคำและอาวุธ การส่งออกจะหดตัวมากถึง -8.4% โดยการระบาดของ COVID-19 เมื่อต้นปี 2020 ทำให้หลายประเทศต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 ที่หลายประเทศใช้มาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมการระบาดของโรค ทำให้การค้าโลกหยุดชะงัก และเกิดปัญหา supply chain disruption จึงทำให้การส่งออกในช่วงไตรมาส 2 หดตัวลึกถึง -15.2%YOY
อย่างไรก็ดี เมื่อประเทศต่างๆ มีการผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง การส่งออกของไทยจึงเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งนี้สินค้าส่งออกที่ขยายตัวได้ในปีที่ผ่านมาคือสินค้าที่ได้รับอานิสงส์จากการทำงานที่บ้าน (work from home) และสุขอนามัย ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ (2.3%) เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ (2.5%) ถุงมือยาง (94.9%) และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (3.4%) ขณะที่สินค้าที่มีการหดตัวมาก คือสินค้าคงทนและสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถยนต์และส่วนประกอบ (-22.2%) สิ่งทอ (-16.8%) และอัญมณีและเครื่องประดับที่ไม่รวมทอง (-39.9%)
แต่การระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกรวมถึงไทย มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกไทยในระยะสั้น โดยการระบาดอีกระลอกจะทำให้อุปสงค์ของประเทศคู่ค้าชะลอตัวลงในระยะสั้น ก่อนที่จะขยายตัวเร่งขึ้นเมื่อประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีน ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้วจะได้รับภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd immunity) ในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของปี 2021 ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาจะได้รับวัคซีนและมีภูมิคุ้มกันหมู่ช้ากว่า
ส่วนปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ก็ยังเป็นปัจจัยกดดันการส่งออกต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่าก็จะกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทยโดยเฉพาะสินค้าเกษตร นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงต่อการส่งออกสินค้าอาหารทะเลของไทยจากการระบาดของ COVID-19 ในจังหวัดสมุทรสาครที่ส่งผลให้เกิดความกังวลต่อสินค้าอาหารทะเลของไทย และยังมีความเสี่ยงด้านการขาดแคลนแรงงานประมงจากการระบาดในกลุ่มแรงงานต่างด้าว
ในส่วนของความคืบหน้าการเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด (Antidumping duty: AD) กับยางล้อไทย พบว่ายางรถยนต์ไทยที่จะส่งออกไปสหรัฐฯ มีแนวโน้มถูกเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดที่อัตรา 13.25 – 22.21% ซึ่งนับเป็นต้นทุนการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นสำหรับผู้ส่งออกยางรถยนต์ไทย อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการส่งออกยางล้อไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าประเทศผู้ส่งออกอื่น ๆ โดยเปรียบเทียบ โดยผู้ส่งออกเกาหลีใต้ และไต้หวัน มีแนวโน้มถูกเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดที่อัตรา 14.24 – 38.07% และ 52.42 – 98.44% ตามลำดับ
นอกจากนี้ ผู้ส่งออกเวียดนามยังอาจถูกเรียกเก็บภาษี ทั้งภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดในอัตรา 0.00 – 22.30% และภาษีตอบโต้การอุดหนุนของรัฐบาล (Countervailing Duty: CVD) ในอัตรา 6.23 – 10.08% อีกด้วย ทั้งนี้ยังต้องติดตามผลการไต่สวนการทุ่มตลาดชั้นที่สุด (Final Determination) ซึ่งจะสิ้นสุดในช่วงกลางปีนี้ โดยระหว่างนี้ ผู้ส่งออกยางรถยนต์ไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บอากรชั่วคราว