ปี “โค” ตัดเหี้ยนงบไม่ตอบโจทย์ สร้างงบใหม่สู้โควิดฯ
แนะรัฐบาล! ตัดงบที่ไม่ตอบโจทย์กับภารกิจอันใหญ่หลวง เพื่อนำรวมสร้าง “งบพิเศษ” รับมือการแพร่ระบาดของโควิดฯ ในปีฉลู (โค)
ปีนักษัตร 2563 ตรงกับปีชวดหรือหนู…ผ่านพ้นไปแล้ว โลกก้าวย่างเข้าสู่ปีฉลูหรือวัว ที่มีอีกชื่อคือ “โค” แม้จะเป็นคนละ “โค” กับไวรัสโควิด-19 แต่ผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ย่อมส่งผลต่อปีฉลู หรือ “โค” อย่างไม่ต้องสงสัย?
ปี 2563 ที่เพิ่งผ่านพ้นมา หลายฝ่ายเคยประเมินและคาดการณ์กันว่า…เศรษฐกิจไทย ที่ได้ผ่านจุด “ต่ำสุด” เมื่อช่วงไตรมาส 2 ของปี 2563 และมีสัญญาณการพลิกฟื้น…กลับมาเป็นบวก ในไตรมาส 3 และ 4 จะช่วยลดอัตราการเติบทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของปี 2563 จากที่น่าจะ ติดลบมากกว่า 8% เหลือเพียงราว 6.6-7.0%
และจีดีพีในปี 2564 จะดีดกลับมาเป็นบวก ระหว่าง 4% ขึ้นไปจนแตะ 5%
นั่นเป็นความคิดก่อนหน้าจะเกิดเหตุร้าย…การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ จาก…จ.สมุทรสาคร ซึ่งจะว่าไปแล้ว พื้นที่นี้…กลายเป็น “ตำบลกระสุนตก!” ถูกกล่าวหาว่าเป็น “ต้นตอ” และ “ตัวการสำคัญ” ที่ฉุดรั้งประเทศไทยในทุกมิติ ให้ตกต่ำ…ดำดิ่ง
ทั้งด้าน…สังคม สาธารณสุข เศรษฐกิจ และการเมือง รวมถึงภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ในสายตาของนานาชาติ ที่เคยมองประเทศไทย เป็น “ภาพบวก” ต่อการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในรอบแรก
ทั้งที่ความเป็นจริง! จ.สมุทรสาคร เป็นแค่ “ปลายทาง” ของปัญหาครั้งใหญ่สุดนี้
และ เป็น “เหยื่อ” ให้กับความละโมบ…โลภมาก ของคนเพียงไม่กี่คน? ในไม่กี่กลุ่ม? ที่ถือ “อำนาจรัฐ” เพื่อดูแลและปกกันมิให้มีการลักลอบนำเข้าแรงงาน “ติดเชื้อโควิดฯ” จากประเทศเพื่อนบ้าน
ทว่า คนกลุ่มนี้…กลับรับอามิสสินจ้างจาก แก๊งนายหน้าค้าแรงงานเถื่อน ปล่อยให้มีการ “นำเข้า” แรงงานผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่ต่างก็รู้กันดีว่า…ภายในประเทศของพวกเขา มีปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสตัวร้าย อย่างไม่อาจจะหยุดยั้งและฉุดรั้งไว้ได้
เพราะเงินตัวเดียว! ที่สร้างกระบวนการ “นำเข้าไวรัสโควิดฯ” จนกลายเป็น “โจทย์ใหม่และใหญ่” ซึ่งรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องรับผิดชอบเต็มๆ
โดยเฉพาะตัว พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ว่าจะบริบทใด? นายกรัฐมนตรี, รมว.กลาโหม, หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล, ผอ.ศบค. หรือในกลุ่มของ ศบศ. ล้วนต้อง “แอ่นอก” เข้ามารับผิดชอบเต็มๆ แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้หลายคนในประเทศไทย ได้เห็นถึงความจริงใจและตั้งใจในการทำหน้าที่ “ผู้นำประเทศ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯรอบใหม่
แต่นั่น…ยังไม่มากพอที่จะทำให้คนไทยและนานาชาติ เกิดความรู้สึก…ปลอดภัยและเชื่อมั่นได้มากนัก เหมือนที่เคยทำไว้ในช่วงเดือนเมษายน – ต้นเดือนธันวาคม 2563
ความท้าทายครั้งใหม่นี้…นับเป็นโจทย์ที่ยากสุดๆ และการจะใช้มาตรการ “ลูบหน้าปะจมูก” คงไม่ฟลุ๊ก! เหมือนครั้งก่อนแน่…
วันนี้…อัตราการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯ ขยายวงกว้าง และลุกลามไปในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ แถมยังมาในลักษณะ…ทุกทิศทาง
กอปรกับเป็นช่วง…เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และย่างเข้าฤดูหนาว ซึ่งเจ้าเชื้อร้ายโควิดฯ ชื่นชอบ ทั้งในแง่…ความแออัดของกิจกรรมที่เต็มไปด้วยฝูงชนจำนวนมาก และสภาพอากาศที่หนาวเย็น…ง่ายต่อการดำรงชีวิตและแพร่กระจายไปในทุกทิศทุกทาง
ดังนั้น การรับมือกับการแพร่ระบาดตามวิถีปกติ จึงไม่น่าจะ “เอาอยู่!”
มาตรการที่ไล่จากเบาไปหาหนัก อาจไม่เพียงพอต่อการจะรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯในรอบใหม่นี้
จะต้องเข้มข้น ถึงขั้น…ปิดเมือง ปิดประเทศ ไล่ตรวจหาเชื้อเชิงรุก ทั้งคนในกลุ่มเสี่ยงและไม่เสี่ยง หากจำเป็น รัฐบาลก็ต้องทำ…และทำทันที!
มากกว่านั้น…งบประมาณใดที่มี รัฐบาลจะต้องปรับเปลี่ยนและนำมาใช้เพื่อการนี้เป็นการเฉพาะ สำหรับปี “โค” เพื่อใช้ต่อสู้กับไวรัสโควิดฯ ในรอบนี้
ลำพังงบประมาณที่เคยตั้งเอาไว้แค่… 4 หมื่นล้านบาทเศษ บวกกับงบใหม่อีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท นั้น ดูแล้ว…ไม่น่าจะเพียงพอ รัฐบาลจะต้องตัดงบที่ไม่สำคัญและจำเป็นออกไป เพื่อนำมางบประมาณเหล่านั้น มาสร้างเป็น “งบพิเศษต่อสู้กับไวรัสโควิดฯ” เป็นการเฉพาะ
ที่เห็นๆ “งบกลาง” กว่า 6 แสนล้านบาท ในมือของนายรัฐมนตรีนั้น จะต้อง “นำร่อง” ตัดในส่วนที่ไม่สำคัญและจำเป็นออกไป เพื่อเป็นตัวอย่างให้กระทรวงและหน่วยงานในสังกัด ได้ทำตาม…
เท่าที่ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้ข้อมูลเอาไว้คร่าวๆ ถึงตัวเลขวงเงินที่รัฐบาลมีและพึงใช้ตลอด ปี “โค” 2564 นั้น
นอกจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีฯ ที่มีเกือบ 3.29 ล้านล้านบาทแล้วยังมีงบที่เหลือจากโครงการเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท อีกเกือบ 6 แสนล้านบาทที่ยังไม่ได้ใช้…
รวมถึงเงินในส่วนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจอีกราว 3 แสนล้านบาท และวงเงินกู้ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ไม่เกิน 60% ของจีดีพี อีกราว 7 แสนล้านบาท
รวมทุกก้อน…มากเกือบ 5 ล้านล้านบาท
แน่นอนว่า…งบทั้งก้อนของงบประมาณรายจ่ายประจำปีฯ 3.29 ล้านล้านบาทนั้น ส่วนใหญ่มี “เจ้าภาพ” และ “ภารกิจ” จับจองการใช้จ่ายอยู่แล้ว โดยเฉพาะรายจ่ายประจำ งบสำหรับใช้หนี้และดอกเบี้ย รวมถึงงบลงทุนในหลายๆ โครงการที่สำคัญและจำเป็น
แต่อย่างน้อย…ในส่วนของ “งบกลาง” ในความดูแลของ พล.อ.ประยุทธ์ และงบของกระทรวง รวมถึงกรมกองในสังกัดฯ ที่ยังไม่สำคัญและจำเป็นมากพอ จะต้องถูกนำมาใช้ “ลงขัน” สร้าง… “งบพิเศษต่อสู้กับไวรัสโควิดฯ” ในทันที!
จากนี้ไป…โครงการและมาตรการใด? ที่ไม่ตอบโจทย์การต่อสู้กับไวรัสโควิดฯแล้ว รัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ ที่สวมบทบาทในทุกบริบทสำคัญๆ จะต้องตัดให้ “เหี้ยน” และนำสร้างโครงการและมาตรการที่สามารถจะเดินคู่ขนานไปกับการแก้ปัญหาไวรัสโควิดฯอย่างเป็นรูปธรรม
อย่าง โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้…อาจต้องชะลอไปก่อน ส่วน โครงการเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3 เดือน (ม.ค. – มี.ค.) เดือนละ 500 บาท รวมถึง โครงการช้อปดีมีคืน และคนละครึ่ง ยังถือเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่จะต้องคงเอาไว้ เพื่อช่วยแบ่งเบารายจ่ายของประชาชนคนไทย
มากกว่านั้น…รัฐบาลอาจต้องพิจารณา “ปัดฝุ่น” โครงการเยียวยาฯ “เราไม่ทิ้งกัน” ให้กับกลุ่มคนที่มีปัญหาจริงๆ รวมถึง กลุ่มผู้ประกอบการระดับกลางลงล่าง และระดับ “คนตัวเล็ก” เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงิน สำหรับหล่อเลี้ยงกิจการให้อยู่รอดปลอดภัย
เรื่องการดูแล…กิจการขนาดใหญ่ และระดับยักษ์ ของบรรดาเจ้าสัวคนดังในประเทศไทย คงไม่ต้องแล้ว เพราะการทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าไปจนหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์นั้น
ถือเป็นการ “ช่วยทางอ้อม” ให้ “เงินในมือ” ของบรรดาเจ้าสัว มีค่าเพิ่มมากขึ้น กระทั่งรวมหัวไปลงทุนและซื้อกิจการ (เทคโอเวอร์) ในหลายๆ ธุรกิจของประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน จนถูกก่นด่าจากคนในท้องถิ่น “ขรมเมือง” อยู่แล้ว
ฉะนั้น จากวันนี้ไป จนถึงสิ้นสุดปีงบประมาณ 2564 (30 ก.ย.2564) รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ อาจต้องตัดสินใจ “ทิ้ง” โครงการและมาตรการที่ไม่สำคัญและจำเป็น เพื่อนำเม็ดเงินทั้งหมดที่มีไป “ลงขัน” สร้าง… “งบพิเศษต่อสู้กับไวรัสโควิดฯ” เป็นการเฉพาะ…จริงๆ
เพราะไวรัสโควิดฯรอบใหม่นี้ ดูท่าแล้ว…หนักหนาสาสัจอย่างมาก…สำหรับปี “โค” ที่เพิ่งผ่านเข้ามายิ่งนัก!.