เกาหลีใต้ขอญี่ปุ่นอดทนกับประวัติศาสตร์
ประธานาธิบดีมุนแจอินแห่งเกาหลีใต้กล่าวเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ว่า ความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นถูกปิดกั้นด้วยประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไขและขอร้องให้ญี่ปุ่นเข้าใจในประเด็นนี้
ความเห็นของผู้นำเกาหลีใต้คนใหม่เป็นการเอ่ยถึงประเด็น ‘หญิงบำเรอ’ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ความโหดร้ายทารุณในประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทหารญี่ปุ่นบังคับผู้หญิงชาวเกาหลีใต้จำนวนมากให้เป็นทาสบำเรอกามของทหารในกองทัพ
ประธานาธิบดีมุนกล่าวกับเลขาธิการทั่วไปของพรรครัฐบาลญี่ปุ่นว่า ประชาชนชาวเกาหลีใต้ไม่ยอมรับข้อตกลงที่ทำไว้กับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะในปี 2558 ในการแก้ไขประเด็นนี้
โดยภายใต้ข้อตกลงญี่ปุ่นได้ขอโทษอีกครั้งกับเหยื่อที่ถูกทารุณในสงครามซึ่งปัจจุบันเป็นหญิงสูงอายุหมดแล้ว และสัญญาว่าจะจ่ายเงินช่วยเหลือเพื่อเป็นกองทุนให้เหยื่อกลุ่มนี้เป็นจำนวน 1,000 ล้านเยน
“ ทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่นควรมองประเด็นนี้อย่างตรงไปตรงมาและเข้าใจว่า จำเป็นต้องใช้เวลาอีกมากในการแก้ไข ” ผู้นำเกาหลีใต้กล่าว
ประธานาธิบดีมุน ซึ่งให้ข้อเสนอแนะในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งที่ประสบความสำเร็จจนเขาชนะการเลือกตั้งในวันที่ 9 พ.ค.ว่า เขาจะพยายามเจรจาในข้อตกลงใหม่ และยังกล่าวว่า ทั้งสองประเทศไม่ควรยึดติดกับประวัติศาสตร์ที่ผ่านไปแล้ว เพราะจะเป็นการปิดกั้นการพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ
โยชิฮิเดะ ซูกะ หัวหน้าเลขานุการคณะรัฐมนตรีกล่าวย้ำเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ว่า ทั้งสองประเทศควรยึดมั่นกับข้อตกลงเดิมที่ทำไว้
“ ข้อตกลงนี้ ซึ่งได้รับการประเมินจากสังคมนานาชาติ เป็นการดำเนินการที่มีเสถียรภาพ นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก เราได้ถ่ายทอดความจริงนี้ให้กับคณะรัฐบาลใหม่ของเกาหลีใต้ผ่านหลายช่องทาง ” นายซูกะกล่าวกับผู้สื่อข่าว
ญี่ปุ่นต้องการให้เกาหลีใต้ย้ายอนุสาวรีย์ ‘หญิงบำเรอ’ ที่ตั้งอยู่ใกล้สถานกงสุลญี่ปุ่นในเมืองปูซานออกไป รวมถึงที่อยู่ใกล้กับสถานทูตญี่ปุ่นในกรุงโซลด้วย โดยแถลงว่า อนุสาวรีย์นี้เป็นการละเมิดข้อตกลงที่ทำไว้ในปี 2558
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ประธานาธิบดีมุนย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการร่วมมือกับญี่ปุ่นในความพยายามที่จะคว่ำบาตรการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ขณะที่นายซูกะกล่าวว่า ทั้งสองยืนยันถึงความสำคัญในการกดดันเกาหลีเหนือต่อไป.