ประเทศรวยควรเกษียณที่ 70
การเกษียณอายุของพลเมืองในประเทศที่ร่ำรวยควรอยู่ที่ 70 ปีภายในปี 2593 เนื่องจากอายุเฉลี่ยของประชากรจะสูงเกิน 100 ปี อ้างอิงจากรายงานล่าสุด
สภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum รายงานว่า ลูกจ้างควรทำงานจนถึงอายุ 70 ปีในหลายประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และแคนาดา
เรื่องการขยายเวลาเกษียณอายุเป็นเรื่องจำเป็น เนื่องจากประชากรที่มีอายุเกิน 65 ปีจะเพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่า 3 เท่าเป็น 2,100 ล้านคนภายในปี 2593
Michael Drexler ผู้อำนวยการระบบการเงินและโครงสร้างพื้นฐานของสภาเศรษฐกิจโลกกล่าวว่า การมีอายุยืนยาวขึ้นของประชากรเป็นสัดส่วนที่เท่ากับสภาพอากาศทีเปลี่ยนแปลงไป
ในสหราชอาณาจักร กำหนดเวลาในการเกษียณอายุและจ่ายเงินบำนาญจะเพิ่มจาก 65 ปีใน 2561 เป็น 68 ปี ภายในปี 2589
โดยรายงานสำหรับกระทรวงแรงงานและเงินบำนาญของปีนี้ระบุว่า แรงงานอายุน้อยกว่า 30 ปีจะไม่ได้รับเงินบำนาญจากภาครัฐจนกว่าจะอายุ 70 ปี
รายงานที่มีชื่อว่า ‘ เราจะมีอายุถึง 100 ปี แล้วเราจะมีเงินพออยู่ได้อย่างไร’ ระบุว่า รัฐบาลจำเป็นต้องทำให้ง่ายขึ้นสำหรับแรงงานให้สามารถออมเงินเพื่อใช้ชีวิตหลังเกษียณและกล่าวชมเชยการปฏิรูปในปัจจุบันของสหราชอาณาจักร
ระบบการลงทะเบียนอัตโนมัติหมายความว่าแรงงานมากกว่า 6 ล้านคนในสหราชอาณาจักรจะถูกลงทะเบียนโดยอัตโนมัติในโครงการเงินออมบำนาญ แต่ยังคงมีความกังวลถึงจำนวนเงินสำรอง
ทางสภาเศรษฐกิจโลกรายงานถึงการคาดการณ์ที่ว่า ช่องว่างการออมเงินเกษียณจะเพิ่มจาก 70 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯเป็น 400 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2593 ใน 8 ประเทศที่ทำการศึกษา คือ ออสเตรเลีย แคนาดา จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ
ช่องว่างคือจำนวนเงินที่ต้องการในแต่ละประเทศเพื่อทำให้รายได้หลังเกษียณเท่ากับ 70% ของรายได้ก่อนเกษียณของแต่ละคน
Jacques Goulet ประธานด้านสุขภาพและการเงินของ Mercer ซึ่งทำงานร่วมกับสภาในการสร้างสรรค์รายงานฉบับนี้กล่าวว่า ประเด็นนี้เริ่มเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤต
“ ไม่มีวิธีการแก้ปัญหาแบบสำเร็จรูปเพื่อแก้ไขเรื่องช่องว่างในการเกษียณแต่ละคนจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนเงินออมและมีความรู้เรื่องการเงิน ขณะที่ภาคเอกชนและภาครัฐควรจัดเตรียมโครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือพวกเขา” เขากล่าว
ทั้งนี้ สภาเศรษฐกิจโลกยังรายงานว่าทุกประเทศควรรวบรวมข้อมูลเรื่องเงินบำนาญให้กับแรงงานเพื่อให้เห็นถึงภาพรวมของสถานะทางการเงินของแต่ละคน.